โรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นภาวะความเจ็บป่วยที่พบได้บ่อย และมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาโรคหัวใจ เพราะโรคแผลในกระเพาะอาหาร มักทำให้มีอาการที่แยกได้ยากจากอาการเจ็บแน่นหน้าอกจากภาวะหัวใจขาดเลือด (Angina) หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือหัวใจวาย (Heart attack)
โรคแผลในกระเพาะอาหารคืออะไร
โรคแผลในกระเพาะอาหาร แผลจะเกิดขึ้นที่เยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม (Duodenum) ซึ่งเป็นลำไส้เล็กส่วนแรก แผลเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงออกในลักษณะอาการปวดท้อง บริเวณลิ้นปี่ แต่ในบางครั้งก็ทำให้มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ลักษณะของอาการปวดจากแผลในกระเพาะอาหาร
อาการปวดจากแผลในกระเพาะอาหาร มักจะถูกบรรยายว่า เป็นอาการปวดแสบปวดร้อน ซึ่งจะบรรเทาได้โดยการกินอาหาร และแย่ลงเมื่อดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือบริโภคคาเฟอีน โดยอาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
นอกจากนั้น ยังมีอาการแสบร้อนขึ้นยอดอก (Heartburn) ที่มีอาการคล้ายกับโรคหัวใจ ที่สามารถพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารเช่นกัน
สาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร
- แผลในกระเพาะอาหารเกิดขึ้น เมื่อเยื่อเมือกที่ปกป้องเยื่อบุทางเดินอาหารส่วนต้นถูกทำลาย หรือการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น
- สภาวะที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ง่ายขึ้น จะพบได้มากที่สุดในผู้ที่มีแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor pylori: H.Pylori) ในทางเดินอาหาร
- การใช้ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
แผลในกระเพาะอาหาร vs อาการเจ็บแน่นอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ปกติแล้ว แพทย์จะแยกอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดจากแผลในกระเพาะอาหาร กับอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ไม่ยาก เนื่องจากสาเหตุของอาการเจ็บทั้งสองอย่างค่อนข้างแตกต่างกัน โดยอาการเจ็บจากแผลในกระเพาะอาหารไม่ได้ถูกกระตุ้นจากการออกกำลังกาย และไม่ดีขึ้นเมื่อพัก
นอกจากนั้น อาการปวดแสบร้อน ท้องอืด และคลื่นไส้ ก็แตกต่างจากอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดตามปกติที่เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease: CAD) พอสมควร
อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดก็เกิดอาการที่ไม่เป็นไปตามปกติ การส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่ชัดก็เป็นสิ่งจำเป็น
การวินิจฉัยโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- การส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร (Endoscopy) เป็นการส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารด้วยหัวตรวจที่โค้งงอได้ เพื่อวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะในผู้ที่มีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง
- การตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย H.Pylori
- การตรวจทางเอ็กซเรย์ของทางเดินอาหารส่วนต้น
- หากแพทย์กังวลว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ อาจตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Stress test) ร่วมด้วย
การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ยาปฏิชีวนะ เพื่อกำจัดแบคทีเรีย H.Pylori โดยมักให้ยาเป็นเวลา 2 สัปดาห์
- ยาลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร มักรวมถึงกลุ่มยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร (Proton pump inhibitor: PPIs) เช่น Omeprazole (Prilosec) และ Histamine (ฮิสทามีน)
- ยาลดกรด (Antacids) หรืดยาลดการผลิตกรด (H2-blockers) เช่น Ranitidine (Zantac) เพื่อลดความเป็นกรดในกระเพาะ
ในบางโอกาสซึ่งเป็นไปได้ยากมาก แผลในกระเพาะอาหารจะไม่สามารถหายได้ด้วยการรักษาดังกล่าว อาจต้องใช้การผ่าตัดแทน อย่างไรก็ตาม การรักษาทางยาได้พัฒนามากขึ้นในช่วงหลายสิบปีมานี้ ทำให้ความจำเป็นในการรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารด้วยการผ่าตัดลดน้อยลงไปมาก