โรค Atherosclerosis (หลอดเลือดแดงแข็ง) จะเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดหนาตัว หรือแข็งตัวขึ้น เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจชนิดร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary artery disease: CAD)
โรค Atherosclerosis จัดเป็นหนึ่งในรูปแบบของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Arteriosclerosis) ที่พบได้บ่อยที่สุด
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรค Atherosclerosis เกิดจากอะไร
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของโรคแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก และจะมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีอายุมากขึ้น โดยโรค Atherosclerosis จะหมายถึงคนที่มีภาวะคอเลสเตอรอล ไขมันอิ่มตัว และแคลเซียมสูงจนทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือดแดง
นอกจากนี้ โรค Atherosclerosis อาจเกิดจากการทำลายผนังชั้นในของเส้นเลือดแดง ซึ่งเป็นบริเวณที่เริ่มมีการสะสมของสารต่างๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำลายของผนังชั้นใน ประกอบด้วย
- การสูบบุหรี่
- การมีระดับไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูง (จากโรคเบาหวาน)
บริเวณที่เกิดการสะสมของสารเหล่านี้อาจทำให้เส้นเลือดแดงแตกได้ และเมื่อมีการแตกเกิดขึ้นก็จะทำให้มีเกล็ดเลือดมาจับตัวกันที่บริเวณดังกล่าวจนทำให้เกิดลิ่มเลือด ซึ่งลิ่มเลือดเหล่านี้จะทำให้เส้นเลือดมีการตีบมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนและสารอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายลดลง
โดยอาการของโรค Atherosclerosis จะขึ้นอยู่กับเส้นเลือดที่ได้รับผลกระทบ
โรคที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวในส่วนต่างๆ
- อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หัวใจขาดเลือด หรือเป็นอัมพาตจากเส้นเลือดในสมองอุดตันได้
- หากเกิดที่หลอดเลือดบริเวณไตจะทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
- หากเกิดที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงแขน หรือขา อาจเกิดปัญหาของการไหลเวียนเลือดของแขนและขา เรียกอาการดังกล่าวว่าโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (Peripheral Artery Disease)
- สามารถทำให้เกิดหลอดเลือดโป่งพอง (Aneurysm) ในบริเวณที่ผนังหลอดเลือดแดงเปราะบางลงจนทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นโป่งเป็นกระเปาะ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย ภาวะนี้มักไม่มีอาการใดๆ แต่หากหลอดเลือดเกิดการแตกออกอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรค Atherosclerosis
- ระดับไขมันไม่ดีชนิดแอลดีแอล (Low Density Lipoprotein: LDL) สูง และ/หรือระดับไขมันดีชนิดเอชดีแอล (High Density Lipoprotein: HDL) ต่ำ
- ความดันโลหิตสูง
- การสูบบุหรี่
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และ/หรือเป็นโรคเบาหวาน
- น้ำหนักเกินหรืออ้วน
- ไม่ออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
- ผู้ชายจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป
- ความเสี่ยงอาจเพิ่มขึ้นหากมีพ่อ หรือน้องชายที่เป็นโรคหัวใจก่อนอายุ 55 ปี หรือแม่หรือน้องสาวที่เป็นโรคหัวใจก่อน 65 ปี
- ระดับโปรตีนซี-แอคทีฟ (C-reactive protein: CRP) ที่สูงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้
การตรวจวินิจฉัยโรค Atherosclerosis
การตรวจโรค Atherosclerosis สามารถทำได้โดยการเอกซเรย์ที่หลอดเลือด แต่การเอกซเรย์ทั่วไปนั้นจะไม่แสดงภาพของหลอดเลือดออกมาชัดเจนนัก ทำให้ต้องฉีดสีย้อมหลอดเลือดแบบพิเศษ (เรียกว่าสารทึบรังสี) เข้าไปในจุดที่ต้องการตรวจสอบ ซึ่งสีดังกล่าวจะไหลไปตามหลอดเลือด ณ จุดที่ฉีด ทำให้เห็นหลอดเลือดขึ้นมาบนฟิล์มเอกซเรย์อย่างชัดเจน
เรียกวิธีการตรวจนี้ว่า “การตรวจสวนหัวใจ (Coronary Artery Angiography: CAG)”
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ข้อดีของการตรวจสวนหัวใจคือ ช่วยให้แพทย์หาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงและเลือกแนวทางการรักษาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
จุดประสงค์ของการตรวจสวนหัวใจ
- ตรวจหาภาวะเลือดออกภายใน
- ตรวจหาการอุดตันของเลือด
- ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของอวัยวะ
- วางแผนการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือด
ภาวะแทรกซ้อนของการวินิจฉัยหลอดเลือด
ภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงหลังจากตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดมีดังนี้
- มีเลือดไหลออกมาจากบริเวณแผลกรีดมาก
- มีการติดเชื้อที่แผลกรีด ซึ่งจะรักษาโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ
- มีปฏิกิริยาแพ้จากสารทึบรังสี ซึ่งควบคุมโดยการใช้ยาต้านอาการแพ้
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหลังจากตรวจวินิจฉัยหลอดเลือด (พบได้น้อยมาก) มีดังนี้
- เกิดลิ่มเลือด
- ไตได้รับความเสียหาย
- ภาวะหลอดเลือดสมอง
- เส้นเลือดเสียหาย
- เกิดปฏิกิริยาแพ้จากสารทึบรังสีรุนแรงจนถึงชีวิต
แนวทางการรักษาโรค Atherosclerosis
แนวทางการรักษาโรค Atherosclerosis ได้แก่ การใช้ยา การผ่าตัด การรักษาที่บ้าน และการรักษาทางเลือก
ยาที่ใช้รักษาโรค Atherosclerosis
มียาหลายตัวที่สามารถใช้ชะลอ หรือทำให้การดำเนินโรคกลับมาดีขึ้นได้ เช่น
- กลุ่มยาสแตติน (Statins) และไฟเบรต (Fibrates) ช่วยลดปริมาณไขมันชนิดแอลดีแอล ซึ่งจะช่วยยับยั้งหรือทำให้ลดการสะสมไขมันในหลอดเลือด
- ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin) ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
- ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เช่น ยากลุ่มเบต้า-บล็อกเกอร์ (Beta-blockers) ยากลุ่มแองจิโอเทนซิน คอนเวิร์ทติง เอนไซม์ (Angiotensin converting enzyme) ช่วยลดการดำเนินโรคโดยการลดความดันโลหิต ขยายเส้นเลือด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดซ้ำ
- ยาขับปัสสาวะ เช่น โดปามีน (Dopamine) เป็นหนึ่งในยาที่ช่วยบรรเทาอาการความดันโลหิตต่ำได้
- ยาละลายลิ่มเลือด สามารถสลายลิ่มเลือดที่อุดตันเส้นเลือดแดงได้
- ยาต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) ช่วยลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด และใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บหน้าอก
การผ่าตัดกับโรค Atherosclerosis
ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการของโรครุนแรง หรืออาการไม่ตอบสนองด้วยยา จะต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดที่ใช้รักษาโรคนี้ประกอบด้วย
- การขยายหลอดเลือดแดงด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Angioplasty and Stent placement) แพทย์จะทำการใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่มีการตีบหรืออุดตัน และใส่สายเส้นที่สองที่มีบอลลูนอยู่ตรงปลายสายเข้าไป หลังจากนั้นจะทำการเป่าลูกบอลลูนนั้น ทำให้เกิดการถ่างผนังเส้นเลือดออก ก่อนจะทำการใส่ขดลวดถ่างขยาย (Stent) เข้าไปเพื่อให้เส้นเลือดคงการขยายไว้
- การผ่าตัดเอาตะกรันที่พอกในหลอดเลือดออก (Endarterectomy) แพทย์จะทำการนำไขมันที่สะสมตามผนังเส้นเลือดออก
- การผ่าตัดบายพาส (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) คือการที่แพทย์นำเส้นเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย หรือใช้เส้นเลือดเทียมมาใช้เป็นเส้นเลือดใหม่แทนเส้นเดิมที่มีการอุดตัน ทำให้เลือดสามารถผ่านเส้นเลือดที่มีการอุดตันหรือตีบนั้นไปได้
การรักษาที่บ้านและการรักษาทางเลือก
การรับประทานอาหารหรือสมุนไพรบางชนิดสามารถลดระดับไขมันชนิดแอลดีแอล และทำให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติได้ ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรค Atherosclerosis อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารหรือสมุนไพรเสริมเหล่านี้ เนื่องจากอาจจะไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ หรืออาจจะส่งผลต่อยาที่แพทย์ใช้ในการรักษาจนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
อาหารและสมุนไพรเหล่านี้ประกอบด้วย
- กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha Linolenic Acid: ALA)
- อาร์ติโชค
- ข้าวบาร์เล่ย์
- เบตาซิโตสเตอรอล (Beta-sitosterol) พบมากในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด
- โกโก้
- น้ำมันตับปลา
- โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)
- กระเทียมและหัวหอม
- รำข้าวโอ๊ต
- กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3)
- วิตามินซี
- เปลือกมะนาว
การป้องกันโรค Atherosclerosis
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้ได้ และเป็นวิธีการรักษาลำดับแรกที่แนะนำในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เช่น
- ฝึกเทคนิคผ่อนคลายต่างๆ เช่น โยคะหรือการฝึกลมหายใจ จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ความเครียดลดลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการความดันโลหิตได้ชั่วคราว
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้รับประทานถั่ว ธัญพืช ผัก ผลไม้ และน้ำมันพืช เช่น ทานตะวันหรือน้ำมันมะกอก
- แนะนำให้รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่ถี่ขึ้น แทนการรับประทานอาหารมื้อใหญ่
- จำกัดปริมาณการรับประทานอาหารประเภทครีม เนยใส ไขมันสัตว์ และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน ซอส น้ำตาลทรายขาว อาหารแปรรูป กาแฟ เครื่องปรุงรส หรือของหมักดองเท่าที่จะสามารถทำได้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำลายเส้นเลือดแดง และทำให้เส้นเลือดแดงเหล่านั้นหดตัว ทำให้การพยากรณ์ของโรคแย่ลง และมีความเกี่ยวข้องกับภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
เบาหวานขึ้นตามีวิธีรักษาอย่างไรบ้างค่ะ