มีปัญหาเรื่องปัสสาวะเล็ดอยู่ตลอดเวลา จะมีทางรักษาไหม

สาเหตุของปัสสาวะเล็ดหรือกลั้นไม่อยู่มีหลายสาเหตุ ได้แก่ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือช่องคลอด ท้องผูก ผลจากยา กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง กล้ามเนื้อกระเพาะอ่อนแรง หูรูดท่อปัสสาวะอ่อนแรง ต่อมลูกหมากโต โรคทางระบบประสาท หรือในบางคนเกิดจากอุปนิสัยบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น ดื่มน้ำน้อย กลั้นปัสสาวะบ่อยๆ หรือเป็นเวลานาน ทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการบีบตัวผิดปกติจนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

การรักษาปัญหา ปัสสาวะเล็ด มีหลายวิธี ได้แก่
* การฝึกขมิบช่องคลอด  โดยขมิบค้างไว้10วินาที แล้วพัก 10วินาทีไปเรื่อยๆ พยายามทำให้ได้อย่างน้อย 45 ครั้งต่อวัน
*  การฉีดสารช่วยลดขนาดท่อปัสสาวะ  โดยการฉีดสารบางชนิดบริเวณด้านนอกของท่อปัสสาวะจะช่วยให้ปัสสาวะเล็ดน้อยลง หรือไม่เล็ดเลย  ในบางรายอาจจำเป็นต้องฉีดสารนั้นซ้ำอีก
* การผ่าตัดรักษา

– การทำรีแพร์ช่องคลอด (A – P repair) ปกติแล้วการทำรีแพร์จะรักษาโรคกระบังลมหย่อน (กระเพาะปัสสาวะ  ทวารหนักหย่อน)

– การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะโดยทางหน้าท้อง  มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการไอ  จาม  ปัสสาวะเล็ด 

– การผ่าตัดรั้งท่อปัสสาวะโดยคล้องท่อปัสสาวะขึ้น (Pubovaginal  sling)
– Tension  free Vaginal  Tape : TVT  เป็นการผ่าตัดโดยใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ

การรักษาที่กล่าวมาข้างต้นควรรักษาตามสาเหตุอาหารปัสสาวะเล็ดซึ่งควรปรึกษาพบแพทย์ก่อนเสมอค่ะ

ภาวะปัสสาวะเล็ด หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อย กระปริบ(ปริด)กระปรอย

โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะปัสสาวะประมาณ 3-5 ครั้ง ในตอนกลางวัน และนับจากช่วงเย็นไป ก็จะปัสสาวะราว ๆ 1-2 ครั้งในตอนกลางคืน แต่หากช่วงความถี่ของการลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยครั้งกว่าที่กล่าวไป ถ้าไม่นับว่าดื่มน้ำมากเกินปกติ อาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ อาจส่อถึงปัญหาสุขภาพว่ามีอาการหรือโรคดังต่อไปนี้

1. ขนาดกระเพาะปัสสาวะเล็กกว่าปกติ
2. ตั้งครรภ์
3. ติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือมีนิ่วในไต
4. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
5. โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
6. ยาบางชนิด
7. โรคเบาหวาน
8. ความเสื่อมของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
9. ไตเสื่อม
10. ปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก
11. โรคหลอดเลือดสมอง(อัมพฤกษ์, อัมพาต) และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท
12. อ้วน
13. เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากน้ำดื่มแล้วยังมีอาหารชนิดอื่น ๆ อีกไม่น้อยที่ทำให้รู้สึกปวดฉี่บ่อยผิดปกติได้

อย่างไรก็ตาม อาการปวดปัสสาวะบ่อยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งควรต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจหาสาเหตุ
ดังนั้นหากรู้สึกได้ว่าตัวเองปัสสาวะบ่อยเกินไป ก็ควรรีบไปพบแพทย์ รวมทั้งควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมการขับถ่ายของตัวเอง และรักษาสุขอนามัยที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปัสสาวะให้ดีด้วย