ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ (Urinary Incontinence) หรือ ภาวะปัสสาวะเล็ด คือภาวะที่ร่างกายสูญเสียการควบคุมของกระเพาะปัสสาวะและไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ปัจจุบันผู้หญิงหลายล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ซึ่งสร้างความลำบากและความอับอายในชีวิตประจำวันไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว
อาการของโรค
ผู้ที่อยู่ในภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จะไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ทันเวลาเมื่อต้องเข้าห้องน้ำ น้ำปัสสาวะมักจะซึมหรือเล็ดออกมาในระหว่างการไอ ขำ หรือวิ่ง บางครั้งน้ำปัสสาวะอาจไหลออกมาระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
สาเหตุ
สาเหตุหลักของการเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่นั้น มาจากกล้ามเนื้อภายในและรอบๆกระเพาะปัสสาวะที่ทำงานผิดพลาด
กระเพาะปัสสาวะนอกจากจะมีหน้าที่เก็บกักปัสสาวะแล้ว ยังมีหน้าที่ขับถ่ายปัสสาวะออกจากร่างกายอีกด้วย การขับถ่ายปัสสาวะนี้เกิดขึ้นได้จากการที่ผนังกล้ามเนื้อภายในกระเพาะปัสสาวะบีบตัวเพื่อไล่ของเหลวออก ในขณะที่กล้ามเนื้อหูรูดที่ท่อปัสสาวะก็ควบคุมการไหลผ่านของของเหลว
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาจเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวกระทันหัน หรือเมื่อกล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรงพอที่จะบีบตัว เพื่อปิดไม่ให้น้ำปัสสาวะไหลผ่านท่อปัสสาวะ
การที่กล้ามเนื้อทั้งสองส่วนนี้ทำงานผิดพลาดมักเกิดจาก 9 สาเหตุหลักดังนี้
- การตั้งครรภ์: ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์มักมีปัญหาการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ เพราะเด็กที่อยู่ในครรภ์จะดันกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะให้บีบตัว ผู้หญิงท้องจึงรู้สึกอยากขับปัสสาวะบ่อยหรือมีน้ำปัสสาวะเล็ดเป็นประจำ
- การคลอดบุตร: ผู้หญิงมักจะอยู่ในภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลังจากการคลอดบุตรภายใน 6 เดือน เพราะการคลอดบุตรทำให้อุ้งเชิงกรานและเส้นประสาทรอบๆกระเพาะปัสสาวะอ่อนตัวได้
- การหมดประจำเดือน: ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำอธิบายไว้ว่าเนื้อเยื่อที่ท่อปัสสาวะรวมไปถึงอุ้งเชิงกรานจะไม่แข็งแรงหรือสูญเสียความยืดหยุ่นเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน
- อาการท้องผูก: การที่มีาการท้องผูกเป็นเวลานาน เช่น ท้องผูกเรื้อรัง อาจทำให้การควบคุมการขับถ่ายของท่อปัสสาวะไม่มีประสิทธิภาพได้
- ยาบางชนิด: การรับประทานยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะปัสสาวะได้ เช่นยากลุ่มไดยูเรทิคส์ (diuretics) ที่ใช้ในการขับปัสสาวะ ใช้รักษาโรคตับ โรคไต โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง รวมไปถึงการรับประทานฮอร์โมนทดแทนก็อาจส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติได้เช่นกัน
- การติดเชื้อ: การติดเชื้อของกระเพาะหรือท่อปัสสาวะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติและอาจเกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้เช่นกัน
- เส้นประสาทถูกทำลาย: การรู้สึกปวดปัสสาวะนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติเมื่อกระเพาะปัสสาวะมีของเหลวมากจนต้องขับออก แต่หากเส้นประสาททำงานผิดพลาด ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกปวดปัสสาวะในขณะที่กระเพาะปัสสาวะเริ่มบีบตัวเพื่อขับของเหลวออก หรือเส้นประสาทไม่สั่งการให้กล้ามเนื้อหูรูดบีบตัวได้ทันเวลา ทำให้น้ำปัสสาวะเล็ดออกมาจากกระเพาะปัสสาวะได้
- น้ำหนักเกิน: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือมีไขมันส่วนเกินมากมักรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย เพราะไขมันส่วนเกิน (โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย) จะเพิ่มแรงกดทับลงบนกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีการบีบตัวให้น้ำปัสสาวะรั่วไหลออกมาได้
- คาเฟอีน: การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอยู่มาก เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม จะทำให้กระเพาะปัสสาวะผลิตน้ำปัสสาวะออกมามากเพื่อขับสารคาเฟอีนนี้ออกจากร่างกาย
เมื่อทราบถึงลักษณะอาการแล้ว และถ้าคิดว่าตนนั้นเข้าข่ายอยู่ในภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ควรพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และหาวิธีการบำบัดรักษา บางครั้งภาวะนี้อาจหายไปเองเมื่อผู้ป่วยมีการปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันเล็กน้อย (หากเป็นในขั้นที่ไม่รุนแรง) แต่ในกรณีที่รุนแรงมาก แพทย์มักจะแนะนำให้ทำการผ่าตัดเพื่อรักษา