โรคไอกรน (whooping cough or pertussis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ โรคไอกรนสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี นอกจากการอาการทั่วไปจะคล้ายโรคหวัดธรรมดา เช่น ไข้ต่ำ น้ำมูกไหล ไอ จาม แล้ว โรคไอกรนยังมีอาการแสดงสำคัญคือ การไออย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ
โรคไอกรนเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบ โรคไอกรนสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี นอกจากการอาการทั่วไปจะคล้ายโรคหวัดธรรมดา เช่น ไข้ต่ำ น้ำมูกไหล ไอ จาม แล้ว โรคไอกรนยังมีอาการแสดงสำคัญคือ การไออย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรคไอกรนหากเกิดกับเด็กโตและผู้ใหญ่จะไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่หากเกิดกับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้สูง เช่น ไอหนักจนตัวเขียว ไอจนหยุดหายใจทำให้สมองขาดออกซิเจนและอาจเสียชีวิตได้ หรือบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ปอดได้
โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจติดต่อได้ด้วยการสัมผัสเสมหะ น้ำลาย หรือน้ำมูกของผู้ป่วย ปัจจุบันวิธีป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่ในทารกแรกเกิด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไอกรน
เด็กทารกอายุต่ำกว่าหกเดือนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไอกรนสูงที่สุด เด็กแต่ละคนจะต้องได้รับวัคซีนไอกรนอย่างน้อยสามครั้งร่างกายจึงจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรค ข้อมูลจากกรมควบคุมและป้องกันโรค หรือซีดีซี (CDC) แสดงว่าทุกๆ 100 คนของเด็กทารกที่เข้านอนโรงพยาบาลด้วยโรคไอกรน จะมีทารกหนึ่งหรือสองคนเสียชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนที่เกิดจากวัคซีนจะลดระดับลงได้ วัยรุ่นและผู้ใหญ่บางรายที่เคยได้รับวัคซีนแล้วจึงอาจกลับมาติดเชื้อได้อีกครั้งหากมีการระบาดเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงของโรคไอกรน
โรคไอกรนมีผลข้างเคียงหลายอย่างที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นกับอายุของผู้ที่ได้รับเชื้อและปัจจัยอื่นๆ
โรคไอกรนในทารกและเด็ก เนื่องจากทารกและเด็กวัยคลานจะยังไม่ได้รับวัคซีนไอกรนครบทั้งสามเข็ม เมื่อติดเชื้อ จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอาจถึงขั้นเสียชีวิต จากข้อมูลของซีดีซี (CDC) กล่าวว่า ครึ่งหนึ่งของเด็กทารกอายุน้อยกว่าหนึ่งปีที่ป่วยเป็นโรคไอกรนจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนในทารกและเด็กได้แก่
ยุค New Normal สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บคอ คันคอ ระคายคอ หรือมีเสมหะ เหนียวคอ มาดู 5 วิธี บรรเทาง่ายๆ ได้ผล อย่ารอให้เป็นหนัก
· ปอดอักเสบติดเชื้อ
· หายใจช้าหรือหยุดหายใจ
· อาการขาดน้ำหรือน้ำหนักลดเนื่องจากกินไม่ได้
· ชัก
· ภยันตรายต่อสมอง
โรคไอกรนในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะกำจัดเชื้อและหายจากโรคไอกรนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แม้บางรายจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น อาการก็มักจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะในรายที่เคยได้รับวัคซีนมาแล้ว
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ได้แก่
· เป็นลมเนื่องจากไอแรงเกินไป
· มีแผลฟกช้ำหรือกระดูกซี่โครงหักจากการไอ
· ไส้เลื่อนที่กระบังลม
· หลอดเลือดฝอยที่ผิวหนังหรือนัยน์ตาแตก
โรคไอกรนทำให้เกิดอาการไอรุนแรงมากจนทำให้อาเจียนได้
อาการที่เด่นชัดที่สุดของโรคไอกรน คือเสียงแหลมสูงอย่างน่ากลัวคล้ายคนที่หายใจขัดหลังจากอาการไปอย่างรุนแรงซึ่งควบคุมไม่ได้ อาการคล้ายหวัด (cold-like symptoms) เช่น ไอเล็กน้อยและมีไข้เป็นสัญญาณแรกๆของโรคไอกรน ขณะที่อาการหวัดเริ่มลดลงใน 1-2 สัปดาห์ ถัดมาจะเริ่มไออย่างมากติดต่อกันหลายสัปดาห์โดยไอแรงมากจนอาเจียนและอ่อนเพลียได้
อาการระยะแรกของโรคไอกรน
หลังจากติดเชื้อไอกรนจะใช้เวลา 7-10 วันจึงเริ่มมีอาการแต่บางครั้งก็นานกว่านั้น อาการแรกๆที่แสดงอาจนาน 1-2 สัปดาห์ ได้แก่
· ไข้ต่ำๆ
· ไอเล็กน้อยเป็นบางครั้ง
· หยุดหายใจที่เรียกว่าแอพเนีย(apnea)
โดยอาการจะเริ่มแย่ลงใน 1-2 สัปดาห์ เสมหะเหนียวข้นจะอยู่ในทางเดินหายใจทำให้ไอจนควบคุมไม่ได้วึ่งจะทำให้เกิด
· อาเจียน
· หน้าแดงหรือม่วง
· อ่อนเพลียมาก
· เสียงแหลมสูงระหว่างการหายใจ
ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ที่ได้รับการฉัดวัคซีนไอกรนแล้วมักจะไม่ติดเชื้อ ถึงติดเชื้อแต่ก็จะไม่รุนแรง ส่วนในเด็กทารกจะไอเพียงแค่เล็กน้อยหรือไม่ไอ แต่จะมีการหายใจติดขัดหรือหยุดหายใจไปเลย
การวินิจฉัยโรคไอกรน
เนื่องจากอาการของโรคไอกรนคล้ายคลึงกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และหลอดลมอักเสบจึงทำให้วินิจฉัยยาก แต่แพทย์จะทำสิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยวินิจฉัยคือ
· ซักประวัติเกี่ยวกับอาการและอาการแสดง
· ตรวจร่างกาย
· ตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งที่อยู่ระหว่างจมูกและลำคอ
· ตรวจเลือดดูจำนวนเม็ดเลือดขาว
· เอ็กซเรย์ปอดเพื่อดูการอักเสบและของเหลวในปอดซึ่งจะเกิดเมื่อมีปอดอักเสบซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากไอกรนรวมถึงการติดเชื้อในทางเดินหายใจอื่นๆ
การรักษาโรคไอกรน
ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคไอกรน
มียาปฏิชีวนะหลายตัวที่ใช้ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคไอกรนซึ่งช่วยให้หายกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้น ตามข้อมูลจากกรมควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention) หรือซีดีซี (CDC) ได้แก่ยา
· อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
· คลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin)
· อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) หรือชื่อการค้าคือ ซิโทรแมกซ์ (Zithromax)
ควรปรึกษาแพทย์ว่าควรใช้ยาตัวใดจึงเหมาะสมมากที่สุด และคนในครอบครัวทุกคนต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อด้วย การให้ยาปฏิชีวนะเร็วมีความสำคัญในการรักษาโรคไอกรนและป้องกันการแพร่กระจายโรค การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการใหม่ๆนั้นสำคัญมากในโรคไอกรน(บางครั้งเรียกว่าโรคเพอร์ทัสซิส) ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาการติดเชื้อนั้นถ้าให้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการไอรุนแรงจะทำให้การติดเชื้อไม่รุนแรงและไม่แพร่กระจาย แต่ถ้าให้การรักษาหลังจากเริ่มมีอาการไปแล้วสามสัปดาห์จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะแบคทีเรียได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายไปแล้วแม้ว่ายังมีอาการอยู่ และการใช้ยาที่ซื้อจากร้านขายยานั้นไม่สามารถบรรเทาอาการได้และไม่ควรซื้อมาใช้เอง
ยาปฏิชีวนะสำหรับเด็กทารก
เด็กทารกตั้งแต่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปควรใช้ยาอิริโทรมัยซิน ยาคลาริโธรมัยซิน และยาอะซิโธรมัยซินในการรักษาไอกรน สำหรับเด็กทารกที่อายุต่ำกว่าหนึ่งเดือนควรใช้ยาอะซิโธรมัยซินเนื่องจากยายาอิริโทรมัยซินจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระเพาะอาหารส่วนปลายตีบในเด็กทารก(infantile hypertrophic pyloric stenosis) หรือไอเฮชพีเอส (IHPS) และในเด็กทารกที่อายุสองเดือนขึ้นไปสามารถใช้ยาแบคทริม (Bactrim)ในการรักษาไอกรนได้แต่เป็นยาทางเลือกรอง โดยเป็นยาผสมประกอบด้วยยาซัลฟาเมธอกซาโซล (Sulfamethoxazole)และยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim)
การรักษาในโรงพยาบาลสำหรับเด็ก
เนื่องจากเด็กทารกและเด็กเล็กจะยังได้วัคซีนไอกรนไม่ครบทุกเข็มซึ่งทำให้มีการติดเชื่อรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตได้ จึงต้องนอนโรงพยาบาลเมื่อไอจนกินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ หรือหายใจไม่สะดวก และตามรายงานจากซีดีซีพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของทารกที่เป็นไอกรนมีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 1 ปี
ขณะที่นอนโรงพยาบาลเด็กเหล่านั้นจะได้รับการดูแลรักษาดังนี้
· ดูดเสมหะเหนียวในทางเดินหายใจเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่งหายใจได้สะดวก
· เฝ้าดูการหายใจและอาจให้ออกซิเจนถ้าจำเป็น
· ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำถ้ากินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้
และจะต้องแยกเด็กออกจากคนอื่นๆเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเนื่องจากเชื้อไอกรนแพร่กระจายได้ง่าย
การดูแลตนเองที่บ้านเมื่อเป็นไอกรน
นอกจากการใช้ยาและควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อป้องกันตนเองและคนในครอบครัว
· รักษาความสะอาดภายในบ้าน
· รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้น
· กินอาหารมื้อเล็กๆแต่กินบ่อยๆ
· นอนในห้องที่เย็น มืด และเงียบ
· ล้างมือบ่อยๆ
· ทำให้บ้านปลอดบุหรี่ ฝุ่น และละอองสารเคมีที่จะทำให้ไอ ถ้าทำได้อาการไอก็จะลดลง นอกจากนั้นการใช้เครื่องทำไอน้ำเย็นที่สะอาดจะช่วยละลายเสมหะและบรรเทาอาการไอ การดื่มน้ำมากๆทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ และซุปรวมถึงการกินผลไม้จะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำโดนอาการของการขาดน้ำคือ
· ปากแห้งเหนียว
· ง่วงนอน หรือ อ่อนเพลีย
· กระหายน้ำ
· ปัสสาวะลดลง
· ปวดศีรษะ
· มึนหรือเวียนศีรษะ
อาการขาดน้ำในเด็กได้แก่
· ผ้าอ้อมแห้งบ่อยๆ
· ร้องไห้แต่มีน้ำตาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
· ริมฝีปากแห้ง
การกินอาหารมื้อเล็กๆแต่บ่อยๆช่วยป้องกันไม่ให้อาเจียนซึ่งเป็นอาหารที่พบบ่อยของไอกรน การนอนในห้องที่เย็น เงียบ และมืดช่วยให้ผ่อนคลาย และการพักผ่อนจะช่วยบรรเทาอาการของไอกรน สุดท้ายการล้างมือบ่อยๆ ปิดปากหรือใส่ผ้าปิดจมูกจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่คนอื่น
บทความที่เกี่ยวข้อง
วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก จำเป็นไหม ทำไมต้องฉีด?
วัคซีนทางเลือกจำเป็นสำหรับเด็กทุกึนหรือเปล่า