ความหมายของโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ (Infective endocarditis) เป็นการติดเชื้อของเยื่อบุชั้นในบริเวณหัวใจและลิ้นหัวใจ เป็นโรคที่สามารถทำลายหัวใจของผู้ป่วยได้ รวมถึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้มากมาย นอกจากนี้ การทำฟัน ใส่สายสวนในร่างกาย และหัตถการอื่นๆ ที่พบบ่อยทางการแพทย์ยังสามารถทำให้เกิดโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคนี้อาจมีอันตรายถึงชีวิต แต่ผู้ป่วยส่วนมากที่ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
เชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ซึ่งสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้สามารถทำให้เกิดภาวะเยื่อบุหัวใจ หรือลิ้นหัวใจอักเสบได้ทั้งนั้น และโรคนี้ยังสามารถเกิดได้ในคนปกติทั่วไป แต่จะพบได้บ่อยกว่าในกลุ่มผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจแต่เดิมอยู่แล้ว เช่น
- ลิ้นหัวใจผิดปกติ
- ใส่ลิ้นหัวใจเทียม
- มีความพิการของหัวใจแต่กำเนิด
- มีการใส่เครื่องมือทางการแพทย์เข้าไปที่หัวใจ เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker)
ส่วนปัจจัยอื่นที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้ ประกอบด้วย
- การใช้ยาเสพติดเข้าเส้น
- การทำฟันในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพที่หัวใจอยู่เดิม
- เคยเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบมาก่อน
- มีสายสวนอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน
อาการของโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
ผู้เป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบมักมีอาการดังต่อไปนี้
- อาการคล้ายไข้หวัด
- ไข้
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย
- ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อ
- ปวดศีรษะ
- มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง
- ซีดลง
- มีผื่นขึ้น
- มีจุดสีแดงหรือสีเข้มใต้ผิวหนังบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า
- มีจุดเล็กๆ อยู่ใต้เล็บ บนหน้าอก บนเพดานปากหรือภายในกระพุ้งแก้ม
- หายใจลำบากหรือไอเรื้อรัง
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- ปัสสาวะปนเลือด
- เท้า ขา หรือท้องบวม
- มีอาการอ่อนแรงเฉียบพลันบริเวณใบหน้าหรือแขนขา
- มีอาการสับสน
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ สามารถทำให้เกิดก้อนลิ่มเลือดและแบคทีเรียขึ้นภายในห้องของหัวใจ ซึ่งก้อนลิ่มเลือดดังกล่าวอาจเกิดการแตกออก และกลายเป็นลิ่มเลือดซึ่งสามารถเดินทางไปยังบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ จากนั้นจะส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือเกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดงขึ้นใหม่
หากผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ หรือสงสัยว่าตนเองอาจจะเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ ให้ผู้ป่วยรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากหากได้รับการรักษาเร็วเท่าไร ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงก็จะลดลงเท่านั้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้ที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- โรคหัวใจ เช่น เสียงหัวใจผิดปกติ หัวใจวาย ลิ้นหัวใจถูกทำลาย หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีการติดเชื้อในสมองอื่นๆ
- โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือชัก
- ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงภายในปอด
- ปอดติดเชื้อ
- ไตวายหรือมีการทำลายของม้าม
การวินิจฉัยโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
ในการวินิจฉัยโรคนี้ แพทย์อาจทำการตรวจ หรือทำหัตถการบางอย่างเพื่อช่วยในการวินิจฉัย และเพื่อแยกโรคอื่นๆ ออกไป โดยในขั้นแรก แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับประวัติการผ่าตัด หรืออาการเจ็บป่วยก่อนหน้านี้ของผู้ป่วยก่อน เนื่องจากโรคหัวใจบางชนิดนั้น สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้ เช่น
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบางประเภท
- ลิ้นหัวใจพิการหรือมีลิ้นหัวใจเทียม
- มีการใส่เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker)
- เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดหรือทำหัตถการเกี่ยวกับหัวใจมาก่อน
หลังจากนั้น แพทย์จะฟังเสียงหัวใจของผู้ป่วย หากได้ยินเสียงหัวใจผิดปกติที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาการดังกล่าวก็อาจเป็นสัญญาณบอกถึงโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้ นอกจากนี้ ยังมีการส่งตรวจและหัตถการอื่นๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคนี้อีก ซึ่งประกอบด้วย
- การตรวจเลือด (Blood Test): แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อดูชนิดของเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถตรวจได้ว่า ผู้ป่วยมีอาการของการอักเสบหรือการติดเชื้อหรือไม่
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram: ECHO): เรียกอีกชื่อสั้นๆ ได้ว่า "การตรวจเอคโค่" เป็นการใช้คลื่นเสียงในการสร้างภาพภายในหัวใจขึ้นมา ทำให้แพทย์เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลิ้นหัวใจได้ ซึ่งประเภทของการตรวจเอคโค่ที่แพทย์มักนิยมใช้ในการวินิจฉัยโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบจะมี 2 ประเภท คือ
- การทำทีทีอี (Transthoracic Echocardiogram: TTE): เป็นการตรวจเอคโค่ชนิดพิเศษที่แพทย์จะวางอุปกรณ์บนผิวหนังใกล้กับกระดูกหน้าอก หรือบนหน้าท้องส่วนบน หรือใกล้หัวนม ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวจะส่งสัญญาณไปยังเครื่องตรวจ เพื่อแปลงสัญญาณให้กลายเป็นภาพของหัวใจ ก่อนที่แพทย์จะแปลผลการตรวจดังกล่าวเพื่อวินิจฉัยโรคต่อไป โดยการตรวจประเภทนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
- การทำทีอีอี (Transesophageal Echocardiogram: TEE): เป็นการตรวจเอคโค่ผ่านการส่องกล้องทางหลอดอาหาร โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยอมและพ่นยาชาในลำคอก่อน จากนั้นจะให้ผู้ป่วยกลืนหัวตรวจซึ่งเป็นกล้องส่องผ่านทางปากเข้าไป เพื่อให้แพทย์ได้บันทึกภาพหัวใจจากด้านในทางเดินอาหาร การตรวจชนิดนี้จะเห็นภาพการทำงานของหัวใจชัดกว่าการตรวจแบบทีทีอี
การป้องกันโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
ในอดีต ก่อนที่จะทำฟัน ผ่าตัดในปาก หรือผ่าตัดเกี่ยวกับลำไส้ อวัยวะเพศหรือทางเดินปัสสาวะ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วยที่มีความพิการของหัวใจแต่กำเนิด หรือเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว 1 ชั่วโมงก่อนการทำหัตถการทุกอย่างเพื่อป้องกันโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ แต่ในปัจจุบัน แพทย์ได้เปลี่ยนมาให้ยากับผู้ป่วยที่เสี่ยงจะเกิดโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ป่วยโรคหัวใจทุกรายอีกต่อไป
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันผู้ป่วยจากโรคเยื่อบุหัวใจได้ก็คือ การปรึกษาและพูดคุยกับแพทย์ประจำตัวอยู่เป็นประจำ ยิ่งในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ก็ควรเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูสภาวะและอาการของโรคว่ามีความเสี่ยงต่อโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบมากขึ้นหรือไม่ และการทำความสะอาดช่องปากให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ก็สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือดได้ เพราะการติดเชื้อดังกล่าว จะสามารถลุกลามกลายเป็นโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบได้เช่นกัน