วิตามินบีมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายที่แตกต่างกัน การที่จะรับประทานวิตามินบีเพื่อให้ร่างกายได้รับประสิทธิภาพมากที่สุดจะต้องรับประทานวิตามินบีแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่าๆ กัน โดยบทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวิตามินบี 1 (ไทอะมีน) และวิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน)
วิตามินบี 1
ข้อเท็จจริง
- วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำเช่นเดียวกับวิตามินบีตัวอื่นๆ หากมีอยู่ในร่างกายมากเกินไปจะถูกขับออก ทำให้ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้จึงจำเป็นต้องได้รับชดเชยทุกวัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก.)
- ควรรับประทานในรูปแบบวิตามินบีรวม เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวิตามินบี 1 บี 2 และบี 6 (ไพริด็อกซิน) ที่ต้องรับประทานในปริมาณที่เท่าๆ กัน
- ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 1-1.5 มิลลิกรัม (1.5-1.6 มิลลิกรัมสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร)
- ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 1 มากขึ้นในภาวะเจ็บป่วย เครียด และผ่าตัด
- วิตามินบี 1 มีสมญานามว่า เป็นวิตามิน “เสริมขวัญและกำลังใจ” เพราะช่วยบำรุงระบบประสาท ส่งผลต่อความคิด และการทำงานของสมอง
- มีคุณสมบัติในการขับปัสสาวะอย่างอ่อน
วิตามินบี 1 ดีต่อร่างกายคุณอย่างไร
- ส่งเสริมการเจริญเติบโต
- ช่วยระบบการย่อยอาหารโดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง
- บำรุงความคิดสติปัญญาให้ดีขึ้น
- ช่วยให้ระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจทำงานเป็นปกติ
- ช่วยบรรเทาอาการเมาเรือ หรือเมาเครื่องบิน
- บรรเทาอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด หรือทำฟัน
- ช่วยในการรักษาโรคงูสวัด
โรคจากการขาดวิตามินบี 1
โรคเหน็บชา
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
แหล่งจากธรรมชาติที่ดีที่สุด
บริวเวอร์ยีสต์ เปลือกข้าว เมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี โฮลวีต ถั่วเหลือง ไข่แดง ปลา ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง เนื้อออร์แกนิก หมูไม่ติดมัน ผักส่วนใหญ่ รำข้าว นม
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- วิตามินบี 1 มีวางจำหน่ายหลากหลายขนาดในร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่ขนาด 50 มิลลิกรัม 100 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม
- การรับประทานให้มีประสิทธิภาพที่สุด ควรรับประทานในรูปแบบวิตามินบีรวม
- วิตามินบีรวมจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากในสูตรนั้นประกอบด้วยวิตามินที่มีคุณสมบัติในการต่อสู้กับภาวะเครียด ได้แก่ กรดแพนโทเทนิก (Pantothenic) กรดโฟลิก (Folic acid) และบี 12
- ขนาดยาที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 100-300 มิลลิกรัม
อาการเป็นพิษ และสัญญาณเตือนว่ารับประทานวิตามินบีมากเกินไปไป
ไม่พบมีอาการเป็นพิษจากการรับประทานวิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ และไม่มีการสะสมที่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะใดๆ
อาการที่บ่งชี้ว่ามีปริมาณในร่างกายมากไปซึ่งพบได้น้อยมาก (เมื่อรับประทานมากกว่า 5 ถึง 10 กรัมต่อวัน) ได้แก่
- สั่น
- โรคเริมกำเริบ
- ตัวบวม
- กระวนกระวาย
- หัวใจเต้นเร็ว
- เป็นโรคภูมิแพ้
ศัตรู
ความร้อนจากการทำอาหารสามารถทำลายวิตามินบีได้ และศัตรูอื่นของวิตามินบี1 ได้แก่ คาเฟอีน แอลกอฮอล์ วิธีการปรุงอาหาร อากาศ น้ำ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ยาลดกรดในกระเพาะ ยาในกลุ่มซัลฟา (Sulfonamides)
คำแนะนำเกี่ยวกับวิตามินบี 1
- คนที่เป็นสิงห์อมควัน นักดื่ม หรือรับประทานอาหารหวานจัดเป็นประจำ ร่างกายจะต้องการวิตามินบี 1 มากกว่าปกติ
- หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือรับประทานยาคุมกำเนิด จะต้องการวิตามินบี 1 มากกว่าปกติ
- คนที่รับประทานยาลดกรดในกระเพาะหลังอาหารเย็นเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับวิตามินบี 1 เท่าที่ควร
- สำหรับในสภาวะเครียดทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย ความวิตกกังวล การบาดเจ็บ หรือหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยควรรับประทานวิตามินบีรวม เพื่อลดอาการดังกล่าว
วิตามินบี 2
ข้อเท็จจริง
- วิตามินบี 2 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ถูกดูดซึมได้ง่าย ปริมาณที่ถูกขับออกขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย และอาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสูญเสียโปรตีนเช่นเดียวกับวิตามินบีตัวอื่น
- ร่างกายไม่เก็บสะสมวิตามินบี 2 จึงควรรับประทานวิตามินบี 2 เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นทางอาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก.)
- ข้อแตกต่างระหว่างวิตามินบี 1 กับวิตามินบี 2 คือ วิตามินบี 2 จะไม่ถูกทำลายโดยความร้อน ปฏิกิริยาออกซิเดชัน หรือกรด แต่ถูกแสงสว่างทำลายได้โดยง่าย
- สำหรับผู้ใหญ่ปกติ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.2-1.7 มิลลิกรัม
- สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.6 มิลลิกรัม
- สำหรับหญิงให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.8 มิลลิกรัม ใน 6 เดือนแรก และ 1.7 มิลลิกรัมใน 6 เดือนหลัง
- ในสภาวะเครียดร่างกายจะต้องการวิตามินบีเพิ่มเติมขึ้น
- วิตามินที่พบว่า ชาวอเมริกันขาดมากที่สุดคือ วิตามินบี 2
วิตามินบี 2 ดีต่อร่างกายคุณอย่างไร
- ช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
- ส่งเสริมสุขภาพผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
- ช่วยกำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
- ช่วยเสริมประสิทธิภาพการมองเห็น และบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
- ทำงานร่วมกับสารอื่นๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
- ช่วยลดความเจ็บปวดจากอาการปวดศีรษะจากไมเกรน
โรคจากการขาดวิตามินบี 2
โรคปากนกกระจอก
แหล่งจากธรรมชาติที่ดีที่สุด
นม ตับ ชีส ผักใบเขียว ปลา ไข่ โยเกิร์ต ถั่ว
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- มีวางจำหน่ายทั้งแบบปริมาณสูงและต่ำ ขนาดที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ 100 มิลลิกรัม เช่นเดียวกับวิตามินบีอื่นๆ
- วิตามินบี 2 จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินบีตัวอื่นอย่างสมดุล
- ขนาดยาที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 100-300 มิลลิกรัม
อาการเป็นพิษและสัญญาณเตือนว่ารับประทานมากไป
ปัจจุบันยังไม่พบอาการเป็นพิษจากวิตามินบี 2
อาการของการมีระดับวิตามินบี 2 ในร่างกายสูงเกินคือ คัน รู้สึกชา
ศัตรู
แสง โดยเฉพาะแสงแดด หรือแสงยูวี (Ultraviolet Radiation: UV) และความเป็นด่างจะทำลายวิตามินบี 2 ได้ (ขวดบรรจุนมแบบทึบที่ใช้ในปัจจุบัน ช่วยป้องกันไม่ให้วิตามินบี 2 ถูกทำลายได้)
ศัตรูตามธรรมชาติอื่นๆ ได้แก่ น้ำ (วิตามินบี 2 จะถูกเจือจางในน้ำที่ประกอบอาหาร) ยาในกลุ่มซัลฟา ฮอร์โมนเอสโตรเจน แอลกอฮอล์
คำแนะนำเกี่ยวกับวิตามินบี 2
- หากคุณกำลังรับประทานยาคุมกำเนิด ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ควรรับประทานวิตามินบี 2 เพิ่มขึ้น
- หากคุณรับประทานเนื้อแดง หรือผลิตภัณฑ์จากนมวัวเพียงเล็กน้อย ควรพยายามรับประทานวิตามินบี 2 ให้มากขึ้น
- มีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายจะขาดวิตามินบี 2 หากคุณจำกัดอาหารเป็นเวลานานเพื่อรักษาแผล หรือเบาหวาน (หากคุณกำลังรับการรักษาโรคใดใดอยู่ก็ตาม ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการรับประทานอาหาร)
- สภาวะเครียดทุกประเภททำให้ร่างกายต้องการวิตามินบีรวมเพิ่ม
- วิตามินชนิดนี้ทำงานร่วมกับวิตามินซี วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) และบี 6 ได้ดีที่สุด
- หากคุณกำลังรับประทานยาต้านมะเร็ง เช่น เมโทเทรกเซต (Methotrexate) การรับประทานวิตามินบี 2 มากเกินไปอาจลดประสิทธิภาพของยา
- หากคุณกำลังรับประทานยาปฏิชีวนะ ร่างกายอาจจะไม่ได้รับวิตามินบี 2 เท่าที่ต้องการ
- ผลการศึกษาจากศูนย์โรคปวดศีรษะแห่งนิวอิงเเลนด์ (New England Center for Headache) ในเมืองสแตมฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต พบว่า ผู้ป่วยที่รับประทานวิตามินบี 2 ทุกวัน วันละ 400 มิลลิกรัม จะมีความถี่ระยะเวลา และความรุนแรงของโรคไมเกรนลดลงถึง 50% แต่ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 3-4 เดือนจึงจะเห็นผล