กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

เชื้อราในช่องคลอด ปัญหากวนใจที่สาวๆ ห้ามละเลย

เผยแพร่ครั้งแรก 24 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 29 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
เชื้อราในช่องคลอด ปัญหากวนใจที่สาวๆ ห้ามละเลย

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • เชื้อราในช่องคลอด เกิดจาก เชื้อรา Candida albicans และเชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสที่อยู่ในช่องคลอดตามธรรมชาติ ถ้าแบคทีเรีย 2 ชนิดนี้เสียสมดุล จะทำให้เชื้อรามีเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นเชื้อราในช่องคลอด
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงใกล้มีรอบเดือน ตั้งครรภ์ หรือวัยทอง มีส่วนทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด
  • อาการติดเชื้อในช่องคลอดสามารถรักษาได้โดยใช้ยากำจัดเชื้อราแบบครีม ยาทา หรือยาเหน็บ
  • การทานโยเกิร์ตที่มีแลคโตบาซิลลัส ทำความสะอาดชุดชั้นในด้วยน้ำร้อน เป็นวิธีป้องกันเชื้อราในชช่องคลอด
  • หากพบว่าอาการเชื้อราในช่องคลอดของคุณรุนแรงขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ที่นี่

การติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากในผู้หญิง มีสาเหตุมาจากเชื้อราที่ชื่อว่าแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งพบได้เป็นปกติในบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงเชื้อแบคทีเรียต่างๆ แต่หากแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อราเหล่านี้มีจำนวนน้อยลง เชื้อราก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นจนเกิดการติดเชื้อในที่สุด ทำให้มีอาการคัน บวม และระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอดอย่างที่หลายคนเป็นนั่นเอง

การติดเชื้อราในช่องคลอดสามารถพบได้ทั้งในผู้หญิงที่มีและไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน จึงไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ หากอวัยวะเพศชายไม่สะอาด และหากเคยติดเชื้อมาแล้วครั้งหนึ่งก็จะมีโอกาสเป็นซ้ำสูงขึ้น  

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

อาการของเชื้อราในช่องคลอด

อาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดที่พบบ่อย ได้แก่

เชื้อราในช่องคลอดที่ไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้มีอาการรุนแรงยิ่งขึ้นได้ ดังนั้นหากคุณสงสัยว่าตัวเองมีอาการติดเชื้อราในช่องคลอดดังข้างต้น ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง

สาเหตุของเชื้อราในช่องคลอด

เชื้อรา Candida albicans ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อราในช่องคลอดนั้นพบได้ในบริเวณช่องคลอดตามธรรมชาติ เช่นเดียวกันกับเชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีในช่องคลอด ที่จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อราให้เหมาะสม แต่หากเกิดการสูญเสียสมดุลระหว่างแบคทีเรียและเชื้อราทั้ง 2 ชนิดนี้ ก็จะทำให้แบคทีเรียทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพและส่งผลให้เชื้อรามีจำนวนเพิ่มขึ้น จนเกิดเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอด

ปัจจัยที่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด

ภาวะเชื้อราในช่องคลอดเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย ดังนี้ 

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะไปลดปริมาณของแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดจากการตั้งครรภ์ การให้นมบุตร การเข้าสู่ช่วงวัยทอง การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือแม้แต่ในช่วงใกล้มีรอบเดือน
  • โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น กินอาหารที่มีน้ำตาลสูง
  • การสวนล้างช่องคลอดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำสบู่
  • ความเครียด
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ติดเชื้อรา

การวินิจฉัยเชื้อราในช่องคลอด

การติดเชื้อราในช่องคลอดนั้นวินิจฉัยได้ไม่ยาก แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ รวมถึงประวัติการติดเชื้อราในช่องคลอดก่อนหน้านี้ และประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลังจากนั้นจะเป็นการตรวจภายในเพื่อดูช่องคลอด ปากมดลูก และอวัยวะเพศบริเวณด้านนอก ว่ามีอาการของการติดเชื้อราหรือไม่

นอกจากนี้แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเซลล์จากช่องคลอดไปตรวจในห้องปฏิบัติการด้วย และอาจมีการตรวจเลือดในผู้ที่ติดเชื้อราในช่องคลอดเป็นประจำหรือรักษาไม่หาย เพราะมีโอกาสที่จะเกิดจากเชื้อ Candida สายพันธุ์อื่น ไม่ใช่เชื้อราสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยอย่างเชื้อ Candida albicans ซึ่งสามารถรักษาได้ง่าย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การรักษาเชื้อราในช่องคลอด

การติดเชื้อราในช่องคลอดแต่ละครั้งอาจมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกันไป ดังนั้นแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสำหรับคุณที่สุด ซึ่งมักขึ้นกับความรุนแรงของอาการ โดยอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดจะทุเลาลงภายในไม่กี่วันหลังจากเริ่มรักษา แต่ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจจะต้องใช้เวลารักษานานถึง 2 สัปดาห์ 

การติดเชื้อในช่องคลอดแบบธรรมดา

การติดเชื้อราในช่องคลอดแบบธรรมดามักจะรักษาได้ด้วยการใช้ยากำจัดเชื้อราแบบครีม ยาทา หรือยาเหน็บ เป็นเวลา 1-3 วัน

ยาที่มักใช้รักษาประกอบด้วย

แม้จะเป็นการติดเชื้อแบบทั่วไป แต่ก็ควรไปตรวจติดตามการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ายานั้นใช้ได้ผล และอาจจะต้องมาตรวจซ้ำหากมีอาการติดเชื้ออีกครั้งภายใน 2 เดือน

การติดเชื้อในช่องคลอดแบบซับซ้อน

แพทย์อาจให้การรักษาที่มีขั้นตอนมากขึ้นหรือนานขึ้น ในกรณีที่เห็นว่าเป็นการติดเชื้อราในช่องคลอดแบบซับซ้อนหรือรุนแรง เช่น

  • มีอาการบวม แดง หรือคันอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดแผลหรือรอยฉีกขาดในเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอด
  • มีการติดเชื้อราในช่องคลอดบ่อยกว่า 4 ครั้งใน 1 ปี
  • เป็นการติดเชื้อจากเชื้อราสายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ Candida albicans
  • กำลังตั้งครรภ์
  • เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากการใช้ยา
  • ติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

การรักษาการติดเชื้อราในช่องคลอดที่ซับซ้อนมักจะประกอบไปด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

  • การใช้ยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบยาทา ยารับประทาน หรือยาเหน็บอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน
  • การรับประทานยาฟลูโคนาโซล 2-3 ครั้ง
  • การใช้ยาฟลูโคนาโซลหรือยาฆ่าเชื้อราแบบทาในระยะยาว

หากยังมีการติดเชื้อซ้ำหลังจากที่รักษาไปแล้ว คุณอาจจะต้องพาคู่นอนมาตรวจด้วยว่ามีการติดเชื้อราหรือไม่ และอย่าลืมใส่ถุงยางอนามัยป้องกันทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากสงสัยว่าคุณติดเชื้อรามาจากคู่นอนของคุณ

ทางเลือกอื่นในการรักษาเชื้อราในช่องคลอด

หากไม่อยากใช้ยา คุณอาจลองใช้วิธีธรรมชาติต่อไปนี้ในการช่วยบรรเทาอาการติดเชื้อราในช่องคลอด แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะยังไม่มีหลักฐานที่บอกได้ชัดเจนว่าวิธีเหล่านี้จะปลอดภัยและได้ผลจริงหรือไม่

  • น้ำมันมะพร้าว
  • ครีมจากน้ำมันต้นชา
  • กระเทียม
  • ยาเหน็บช่องคลอดจากกรดบอริก
  • รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติหรือทาโยเกิร์ตเข้าไปในช่องคลอด

เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมล้างมือให้สะอาดก่อนทาครีมหรือน้ำมันลงในช่องคลอด และควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก่อนเสมอ เพราะสมุนไพรบางตัวอาจส่งผลต่อยาที่รับประทานอยู่และทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

การป้องกันเชื้อราในช่องคลอด

สิ่งที่ควรทำ

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • รับประทานโยเกิร์ตหรืออาหารเสริมที่มีแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus)
  • ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ หรือทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน และผ้าไหม
  • ทำความสะอาดชุดชั้นในด้วยน้ำร้อนเพื่อกำจัดเชื้อราที่หมักหมม
  • เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เมื่อมีประจำเดือน
  • ล้างทำความสะอาดช่องคลอดบริเวณภายนอกเท่านั้น

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • การใส่กางเกงที่รัดแน่นเกินไป หรือถุงน่อง เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นหรือสะสมของเชื้อราได้ง่าย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอดหรือผ้าอนามัยที่มีกลิ่น
  • การอยู่ในชุดที่เปียกเป็นเวลานาน โดยเฉพาะชุดว่ายน้ำ
  • การสวนล้างช่องคลอด

หากสังเกตอาการของตัวเองเป็นประจำ คุณอาจจะพอคาดเดาได้ว่าติดเชื้อราในช่องคลอดจากอะไร เช่น ผู้หญิงบางคนจะติดเชื้อทุกครั้งที่รับประทานยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ซึ่งการรู้และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของตัวเองนั้นก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำในอนาคตได้อย่างดี


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

ความผิดปกติที่พบบ่อยในคุณผู้หญิงที่ต้องรู้จัก อันตรายหากรักษาไม่ถูกวิธี

อ่านเพิ่ม