อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์มีหลายอาการ เช่น ประจำเดือนไม่มาตามปกติ คลื่นไส้อาเจียนช่วงเช้า อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ เจ็บคัดตึงเต้านม เป็นต้น
คุณกำลังสงสัยหรือไม่ว่ากำลังตั้งครรภ์หรือเปล่า? หากกำลังสงสัยเช่นนี้ วิธีเดียวที่จะรู้ได้ว่าตั้งครรภ์หรือไม่ คือการตรวจการตั้งครรภ์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แต่การตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรกจะมีอาการบางอย่างเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณรู้ว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
ผู้หญิงทุกคนจะมีอาการของการตั้งครรภ์ในระยะแรกหรือไม่?
ผู้หญิงทุกคนนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นผู้หญิงแต่ละคนจะมีอาการในช่วงตั้งครรภ์แตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงอาการที่เกิดขึ้นในการตั้งครรภ์ครั้งที่แล้วก็อาจแตกต่างจากครั้งนี้ก็ได้
นอกจากนี้อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ มักจะคล้ายกับอาการที่เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน จึงทำให้คุณไม่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์
ต่อไปนี้จะเป็นคำอธิบายถึงอาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ที่พบได้บ่อย คุณควรรู้ว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์ก็ได้ ดังนั้นถ้าหากมีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตั้งครรภ์เสมอไป วิธีเดียวที่จะรู้ได้ว่าตั้งครรภ์หรือไม่ คือต้องตรวจการตั้งครรภ์
มีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอด และมีอาการปวดเกร็ง
ภายหลังการปฏิสนธิ ไข่ที่ได้รับการผสมกับอสุจิจะฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้เกิดอาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ขึ้น ได้แก่ มีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอด และบางครั้งอาจมีอาการปวดเกร็งร่วมด้วย
เราเรียกเลือดที่ออกนี้ว่า เลือดล้างหน้าเด็ก (implantation bleeding) ซึ่งสามารถพบได้ในช่วง 6-12 วัน หลังจากไข่ปฏิสนธิแล้ว
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการปวดเกร็งจะคล้ายกับอาการปวดประจำเดือน ดังนั้นจึงทำให้จึงอาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดที่ออกเป็นเลือดของวันแรกที่มีประจำเดือน อย่างไรก็ตามเลือดล้างหน้าเด็กและอาการปวดเกร็งจะเป็นน้อยกว่าตอนเป็นประจำเดือนจริงๆ
นอกจากมีเลือดออกแล้ว ยังอาจสังเกตเห็นตกขาวลักษณะคล้ายนมออกจากช่องคลอดด้วย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการหนาตัวของผนังช่องคลอดซึ่งเกิดขึ้นทันทีหลังมีการปฏิสนธิขึ้น การเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ที่ช่องคลอดนี้เองจึงทำให้เกิดตกขาวขึ้น
ตกขาวที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นอย่างต่อเนื่องไปตลอดช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ โดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ถ้าตกขาวเกิดมีกลิ่นเหม็น รู้สึกคัน แสบ ขึ้นมา ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจว่ามีการติดเชื้อราหรือติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยหรือไม่
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม
การเปลี่ยนแปลงของเต้านมเป็นอีกสัญญาณเริ่มแรกของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายหลังการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้หญิงมีอาการตึงคัด เจ็บเต้านม ในช่วง 1 หรือ 2 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ได้ และบริเวณหัวนมอาจมีสีเข็มขึ้นได้
อย่างไรก็ตามอาการที่เกิดขึ้นที่เต้านมอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดจากการตั้งครรภ์ โปรดจำไว้ว่าต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะคุ้นชินกับระดับฮอร์โมนใหม่นี้ และเมื่อถึงตอนนั้นอาการปวดเต้านมจะดีขึ้น
อ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียเป็นอาการที่บ่อยได้เป็นปกติระหว่างตั้งครรภ์ โดยสามารถพบอาการอ่อนเพลียมากผิดปกติได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของการอ่อนเพลียมักมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น แม้ว่าอาการอื่นๆ ก็ทำให้เกิดอาการได้เช่นกัน เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ระดับความดันโลหิตต่ำ และการเพิ่มอัตราการสร้างเลือด
ถ้าอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญก็คือต้องพักผ่อนให้เต็มที่ และรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนและธาตุเหล็กสามารถช่วยบรรเทาอาการได้
คลื่นไส้ อาเจียน (Morning sickness)
คลื่นไส้ อาเจียน เป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่ไม่ใช่ว่าหญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องมีอาการนี้
สาเหตุของการเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงตั้งครรภ์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการนี้ อาการคลื่นไส้ อาเจียนระหว่างตั้งครรภ์สามารถพบได้ทุกช่วงเวลาของวัน แต่จะพบได้บ่อยในช่วงเช้า จึงเรียกว่า morning sickness หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการแพ้ท้อง
นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์บางรายจะอยากอาหารหรือไม่สามารถทนต่อกลิ่นอาหารบางชนิดได้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ผลที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นมาก กล่าวคือ อาการที่เคยชื่นชอบ อาจไม่ชอบระหว่างตั้งครรภ์ก็ได้
มีความเป็นไปได้ว่า อาการคลื่นไส้ อยากอาหาร หรือไม่ชอบอาหารบางชนิดจะเป็นไปตลอดของการตั้งครรภ์ แต่ก็ยังโชคดีที่ว่าส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 13 หรือ สัปดาห์ที่ 14 ของการตั้งครรภ์
ในระหว่างนี้ คุณต้องมั่นใจว่ารับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการของคุณและพัฒนาการของทารกในครรภ์ คุณสามารถพูดคุยกับแพทย์เพื่อขอคำแนะนำได้
ประจำเดือนไม่มา
หนึ่งในอาการที่เห็นได้ชัดของการตั้งครรภ์คือ ประจำเดือนไม่มา ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้ผู้หญิงเลือกที่จะตรวจการตั้งครรภ์ แต่ว่าประจำเดือนที่ขาดหายไป หรือมาช้า ไม่ได้มีสาเหตุจากการตั้งครรภ์เสมอไป
นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดได้บ้างระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ว่าแบบไหนจึงเรียกว่าปกติ และแบบไหนจึงเรียกว่าอันตราย
นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนขาดหายไปนอกจากการตั้งครรภ์ เช่น อาจเกิดจากน้ำหนักตัวเพิ่มหรือลดมากเกินไป ปัญหาจากฮอร์โมนในร่างกาย อ่อนเพลีย ความเครียด หรือสาเหตุอื่นๆ ผู้หญิงบางคนอาจมีประจำเดือนขาดหายไปเมื่อหยุดรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดก็ได้ แต่ถ้าประจำเดือนของคุณมาช้ากว่าปกติ และคุณสงสัยว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ กรณีนี้คุณจำเป็นต้องได้รับการทดสอบการตั้งครรภ์
อาการระยะเริ่มแรกของการตั้งครรภ์อื่นๆ
การตั้งครรภ์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และทำให้เกิดอาการอื่นๆ ได้แก่:
- ปัสสาวะบ่อย หญิงตั้งครรภ์หลายรายจะมีอาการนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6 หรือ สัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์ แต่ก็สามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้ คือ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคเบาหวาน หรือการใช้ยาขับปัสสาวะมากเกินไป ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ อาการนี้มักจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน
- ท้องผูก ระหว่างการตั้งครรภ์ ระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นจะทำให้มีอาการท้องผูกได้ เพราะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะทำให้อาหารเคลื่อนที่ไปยังลำไส้ช้าลง ในการบรรเทาอาการท้องผูก ให้ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง
- อารมณ์แปรปรวน เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ (3 เดือนแรก) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป
- ปวดศีรษะและปวดหลัง หญิงตั้งครรภ์หลายรายมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย และอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรังร่วมด้วย
- เวียนศีรษะ หน้ามืด อาการนี้อาจสัมพันธ์กับการขยายตัวของหลอดเลือด ความดันโลหิตต่ำลง และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง
หญิงตั้งครรภ์สามารถมีอาการทั้งหมดดังที่กล่าวมาข้างต้นหรืออาจมีเพียงบางอาการ หากอาการที่เกิดขึ้นรบกวนชีวิตของคุณ ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นดังกล่าว