ทำความรู้จักภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ (Atrial Flutter: AF) คือ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) ชนิดหนึ่ง ที่ผู้ป่วยจะมีการเต้นของหัวใจห้องบน (Atria) เร็วกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ตรงกันระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง
นอกจากนี้ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟมักจะมีอาการคล้ายกับ "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (Atrial Fibrillation)" ซึ่งเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่พบได้มากกว่า แต่ทั้ง 2 ภาวะนี้ไม่ได้เป็นภาวะเดียวกันแต่อย่างใด
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
โดยทั่วไป ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้จะไม่รู้สึกถึงการเต้นถี่ๆ ของหัวใจ แต่จะมีอาการอื่นแสดงออกมาแทน ได้แก่
- หัวใจเต้นเร็ว
- หายใจลำบาก
- หน้ามืด หรือเป็นลม
- เจ็บ หรือแน่นหน้าอก
- เวียนศีรษะ
- ใจสั่น
- มีปัญหาในการทำกิจกรรมประจำวันเนื่องจากอ่อนเพลีย
สาเหตุและปัจจัยทำให้เกิดของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
มีมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ ได้แก่
- โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease): เกิดจากเส้นเลือดแดงของหัวใจมีการอุดตันโดยไขมันคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่บริเวณผนังหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ช้าลง จนเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจ ห้องหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจได้รับความเสียหาย โดยอัตราการเต้นของหัวใจที่เกิดจากปัจจัยนี้จะอยู่ที่ 240-340 ครั้งต่อนาที
- การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open-Heart Surgery): การผ่าตัดหัวใจแบบเปิดอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่หัวใจ ซึ่งจะไปขัดขวางสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจจนเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจจากปัจจัยนี้จะเต้นเร็วถึง 340-350 ครั้งต่อนาทีเลยทีเดียว
นอกจากปัจจัยทั้ง 2 อย่างแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ ได้แก่
- สูบบุหรี่ และดื่มสุราเป็นประจำ
- เป็นโรคหัวใจ หรือเป็นโรคของลิ้นหัวใจ (Heart Valve)
- เคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด
- มีความดันโลหิตสูง
- เป็นโรคปอด หรือเป็นโรคเบาหวาน
- เป็นโรคเครียด หรือโรควิตกกังวล
- กำลังใช้ยาช่วยลดน้ำหนัก หรือใช้ยาบางชนิด
เมื่อผู้ป่วยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติชนิดเอเอฟแล้ว ความผิดปกติดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นกับ "ตัวควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตามธรรมชาติ (Natural Pacemaker)" หรือ "ไซนัส โนด (Sinus Node)" ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ที่บริเวณหัวใจห้องบนขวา (Right Atrium) ทำหน้าที่คอยส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องบนขวาและซ้าย เพื่อบอกว่าเมื่อไรที่หัวใจควรจะหดตัว และจะหดตัวด้วยจังหวะเท่าไร
โดยเมื่อเกิดความผิดปกติ ตัวไซนัส โนดนี้จะส่งสัญญาณไฟฟ้าออกมา แต่สัญญาณบางส่วนจะถูกส่งผ่านอย่างต่อเนื่องไปรอบๆ หัวใจห้องบนขวา ทำให้หัวใจห้องบนหดตัวเร็วขึ้น และส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นกว่าเดิม
การวินิจฉัยภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
เมื่อผู้ป่วยมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที แพทย์จะสันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ ซึ่งหลังจากนั้นจะมีการซักประวัติครอบครัว และประวัติสุขภาพและการรักษาโรคอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการวินิจฉัยเบื้องต้น
ตรวจหัวใจและหลอดเลือดวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 294 บาท ลดสูงสุด80%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หากแพทย์ไม่แน่ใจว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้น มีสาเหตุมาจากภาวะดังกล่างหรือไม่ ก็อาจมีการส่งต่อไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมดังนี้
- การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram: ECHO): เรียกสั้นๆ ได้ว่า "การตรวจเอคโค่" เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงวัดการไหลเวียนเลือดในหัวใจ และในหลอดเลือด
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Elektrokardiogram หรือ Electrocardiogram: EKG หรือ ECG): เป็นการตรวจเพื่อบันทึกรูปแบบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
- การตรวจทางสรีรวิทยาไฟฟ้าหัวใจ (Electrophysiology): เป็นวิธีการตรวจโดยการใส่สายสวนเข้าไปในบริเวณหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบซึ่งส่งไปยังหัวใจ โดยจะมีการติดแผ่นรับสัญญาณไฟฟ้า (Electrodes) ที่บริเวณต่างๆ เพื่อดูจังหวะการเต้นของหัวใจผู้ป่วย
การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
การรักษาที่ใช้จะขึ้นกับความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีโรคหัวใจอื่นๆ ร่วมด้วย โดยเป้าหมายหลักของการรักษาก็คือ เพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะ โดยมีทางเลือกในการรักษา ดังนี้
1. การใช้ยา
เป็นการรักษาเพื่อทำให้หัวใจเต้นช้าลง หรือเพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ โดยการใช้ยาบางชนิดอาจทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวให้เข้ากับยา เช่น ยาในกลุ่มแคลเซียม แชนแนล บล็อคเกอร์ (Calcium Channel Blockers) ยาในกลุ่มเบต้า บล็อคเกอร์ (Beta-Blockers) หรือ ไดจอกซิน (Digoxin)
แต่หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรงมาก แพทย์อาจเลือกใช้ยาอื่นๆ เพื่อเปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาเป็นปกติ เช่น อะมิโอดาโรน (Amiodarone) โพรพาฟีโนน (Propafenone) หรือ ฟลีคาไนด์ (Flecainide)
นอกจากนี้ แพทย์อาจจ่ายยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดแดงด้วย เนื่องจากผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
2. การผ่าตัด
การรักษาโดยการผ่าตัดจะถูกใช้เมื่อแพทย์ไม่สามารถควบคุมโรคด้วยการใช้ยาได้ ซึ่งจะกระทำโดยการใช้สายสวน เพื่อจี้กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่นำไฟฟ้าผิดปกติ (Ablation Therapy) และจะมีการทำลายเนื้อเยื่อหัวใจในบริเวณที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของภาวะจังหวะการเต้นหัวใจผิดปกติ และหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เพื่อช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจ
3. การรักษาทางเลือก
จะรักษาโดยการใช้ไฟฟ้ากระตุกเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจ (Cardioversion) หรือเรียกอีกอย่างว่า การช็อตด้วยไฟฟ้า (Defibrillation) โดยผู้ป่วยจะถูกติดแผ่นแปะไว้ที่บริเวณหน้าอก และแพทย์จะช็อตด้วยไฟฟ้าจากเครื่องส่งภายนอกร่างกาย
การป้องกันภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ
เราจะเห็นได้ว่าจากปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเอเอฟ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาทีหลังในผู้ป่วยโรคหัวใจ ซึ่งวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพของตนเองให้ดี หมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอาการของโรคอยู่เสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ส่วนในกลุ่มบุคลทั่วไปที่ยังไม่เป็นโรคหัวใจหรือยังไม่มีความเสี่ยงใดๆ ที่จะเกิดภาวะนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันก็คือ พยายามลดความเสี่ยงไม่ให้ตนเองเป็นโรคหัวใจ โดยการปรับการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพที่ดี เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และเลิกสูบบุหรี่