หลังจากเดือนที่รอคอยมาถึง แน่นอนว่าวันครบกำหนดคลอดเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในบทความนี้จะกล่าวถึงสิ่งที่คุณจะต้องพบเจอตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการคลอดไปจนถึงวันแรกและสัปดาห์แรกของลูกน้อยที่น่ารักของคุณ
สัญญาณของการคลอด
ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแน่นอนว่าการคลอดจะเกิดขึ้นเมื่อ แต่แพทย์จะคำนวณวันครบกำหนดคลอดให้คุณไว้เพื่อเป็นวันอ้างอิงเท่านั้น โดยปกติแล้ววันคลอดจริงสามารถเกิดขึ้นก่อนวันที่คำนวณไว้ได้ถึง 3 สัปดาห์ หรือเกิดหลังวันที่คำนวณไว้ 2 สัปดาห์ ต่อไปนี้คือสัญญาณที่เตือนให้รู้ว่าการคลอดใกล้เข้ามาแล้ว
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ท้องลดต่ำลง: เกิดขึ้นเนื่องจากศีรษะของทารกจะเคลื่อนตัวเข้าสู่บริเวณอุ้งเชิงกรานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ท้องของคุณแม่จะดูลดต่ำลง และจะรู้สึกอึดอัดน้อยลง หายใจสะดวกขึ้น เพราะว่าตัวทารกจะไม่เบียดปอดของคุณแล้ว แต่คุณจะรู้สึกต้องการปัสสาวะมากขึ้น เพราะว่าทารกจะไปเบียดที่กระเพาะปัสสาวะแทน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ จนถึง ไม่กี่ชั่วโมงก่อนคลอด
- มีมูกไหลมาจากช่องคลอด: ปกติแล้วปากมดลูกจะมีมูกอุดปิดที่ปากมดลูกเพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าไปในมดลูก เมื่อใกล้คลอด ปากมดลูกจะเปิด และมูกนี้จะหลุดออกมา โดยจะไหลออกมาทางช่องคลอดมีลักษณะเป็นสีน้ำตาล หรือมีเลือดปน เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในวันก่อนการคลอดหรือในวันที่มีการคลอด
- ท้องเสีย: อุจจาระเหลวบ่อยครั้ง อาจหมายถึงการคลอดใกล้เข้ามาแล้ว
- ถุงน้ำคร่ำแตก: จะพบน้ำเดิน หรือน้ำคร่ำพุ่งไหลพรวดออกมาทางช่องคลอด หรือค่อยๆ ไหลออกมาทางช่องคลอดก็ได้ ซึ่งหมายความว่าถุงน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำคร่ำที่ล้อมรอบและคอยปกป้องตัวทารกนั้นฉีกขาดแล้ว อาการน้ำเดินจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนคลอดหรือเกิดขึ้นระหว่างการคลอดก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงจะคลอดภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการน้ำเดิน ถ้าการคลอดไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในช่วงเวลานี้ แพทย์อาจเหนี่ยวนำให้เกิดการคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น
- เจ็บท้อง มดลูกหดตัว: ในช่วงใกล้คลอด มดลูกจะหดตัวถี่เป็นจังหวะ แต่ละครั้งจะห่างกันน้อยกว่า 10 นาที นั่นหมายความว่าการคลอดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ระยะของการคลอด
โดยทั่วไปสามารถแบ่งระยะของการคลอดได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้:
ระยะที่ 1
ในระยะที่ 1 ของการคลอด ยังแบ่งเป็นระยะย่อยๆ ได้อีก 3 ระยะย่อยด้วยกัน คือ latent, active และ transition
- ระยะย่อยแรกคือ latent phase ซึ่งจะกินระยะเวลายาวนานที่สุดและมดลูกจะหดตัวไม่รุนแรง ในระยะนี้มดลูกจะมีการหดถัวเพื่อช่วยให้ปากมดลูกเปิดออกสำหรับให้ทารกคลอดออกมาทางช่องคลอดได้ มารดาจะรู้สึกไม่สบายตัวเพียงเล็กน้อย ในระยะนี้ปากมดลูกจะเริ่มเปิดออกและมีการบางตัวของปากดมลูก หากการหดตัวเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง คุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อนอนโรงพยาบาล และแพทย์จะตรวจอุ้งเชิงกรานบ่อยครั้งเพื่อวัดว่าปากมดลูกขยายตัวมากแค่ไหนแล้ว
- ระยะย่อยที่สองคือ active phase ช่วงนี้ปากมดลูกจะเปิดเร็วมากขึ้นกว่าระยะ latent phase คุณอาจรู้สึกปวดมากขึ้น หรือ รู้สึกถึงแรงกดที่หลังหรือช่องท้องเมื่อมีการหดตัวแต่ละครั้ง คุณจะรู้สึกเหมือนมีอะไรดันพร้อมจะหลุดออกมาเต็มที่ แต่แพทย์จะขอให้คุณรอจนกว่าปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ก่อน
- ระยะย่อยที่สามคือ transition phase ช่วงนี้ปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ อยู่ที่ 10 เซนติเมตร มดลูกจะหดตัวรุนแรง มีอาการปวดและบ่อยครั้งมาก ซึ่งจะหดตัวทุกๆ 3 ชั่วโมง จนถึง 4 นาที โดยจะหดตัวครั้งละ 60 – 90 วินาที
ระยะที่ 2
ระยะที่สองจะเริ่มนับจากปากมดลูกเปิดตัวเต็มที่ เมื่อถึงจุดนี้ แพทย์จะแจ้งคุณว่าพร้อมแล้วที่จะให้เบ่ง การเบ่งพร้อมกับแรงการหดตัวของมดลูกจะช่วยให้ทารกคลอดผ่านช่องคลอดได้ โดยกระหม่อมของศีรษะทารกจะเคลื่อนผ่านช่องคลอดที่แคบ
เมื่อศีรษะโผล่พ้นช่องคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะดูดเอาน้ำคร่ำ เลือด และมูกต่างๆ ที่อยู่ในจมูกและปากของทารกออก คุณยังต้องเบ่งต่อเพื่อช่วยในการคลอดส่วนหัวไหล่และส่วนลำตัวของทารก
เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว แพทย์จะทำการหนีบและตัดสายสะดือของทารก (หรืออาจจะเป็นฝ่ายชาย ถ้าร้องขอ และโรงพยาบาลอนุญาตให้ทำได้)
ระยะที่ 3
ภายหลังจากคลอดทารกออกมาแล้ว คุณจะเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการคลอด ในระยะนี้คุณจะคลอดรกออกมา ซึ่งเป็นอวัยวะในมดลูกที่ให้เป็นช่องทางให้สารอาหารกับทารกของคุณ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
โปรดจำไว้ว่าผู้หญิงแต่ละราย และการคลอดแต่ละครั้งแตกต่างกัน ระยะเวลาของระยะต่างๆ ของการคลอดจะแตกต่างกัน ถ้าเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรก โดยทั่วไปกระบวนการคลอดจะใช้เวลาประมาณ 12-14 ชั่วโมง แต่ในการตั้งครรภ์ครั้งถัดๆ ไป กระบวนการคลอดจะใช้เวลาสั้นลง
การรักษาอาการปวด
ไม่เพียงแต่ระยะเวลาในการคลอดที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่อาการปวดที่มารดาจะรู้สึกขณะคลอดก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน
ท่าทางและขนาดของทารก และความแรงของการบีบตัวของมดลูกล้วนส่งผลต่ออาการปวด อย่างไรก็ตามหญิงตั้งครรภ์บางรายจะจัดการกับอาการปวดที่เกิดขึ้นโดยการใช้เทคนิคฝึกลมหายใจและเทคนิคการผ่อนคลายซึ่งได้เรียนและเตรียมพร้อมมาตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์แล้ว ส่วนหญิงตั้งครรภ์รายอื่นจะต้องใช้วิธีอื่นในการควบคุมอาการปวดที่เกิดขึ้น
วิธีบรรเทาอาการปวดที่ใช้บ่อยมีหลายวิธี ได้แก่:
- การใช้ยา: มียาหลายชนิดที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวดขณะคลอดลูกได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยาแก้ปวดที่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่และลูกน้อย ก็สามารถมีผลข้างเคียงได้เช่นเดียวกับยาอื่นๆ เช่นกัน
- ปวดบริเวณตำแหน่งที่ตัดฝีเย็บ หรือปวดแผลฉีกขาดบริเวณฝีเย็บที่เกิดจากการคลอด: การตัดนี้คือการตัดบริเวณฝีเย็บเพื่อขยายปากช่องคลอด (เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างช่องคลอดกับทวารหนัก) เพื่อช่วยให้ทารกคลอดง่ายขึ้นและป้องกันการฉีดขาดที่บริเวณนั้น หากมีการตัดฝีเย็บหรือบริเวณนี้เกิดการฉีดขาดระหว่างการคลอด เมื่อเย็บแผลแล้วอาจทำให้เดินลำบากหรือนั่งลำบาก นอกจากนี้คุณจะมีอาการปวดเมื่อไอหรือจามระหว่างที่รอแผลหายดีด้วย
- เจ็บเต้านม: เต้านมคุณจะบวม แข็ง และมีอาการปวดเป็นเวลาหลายวัน เนื่องจากกำลังมีการผลิตน้ำนม และหัวนมก็อาจมีอาการเจ็บด้วย
- ริดสีดวงทวารหนัก: ริดสีดวงทวารหนัก (การบวมของเส้นเลือดดำที่บริเวณทวารหนัก) เป็นอาการที่พบได้บ่อยหลังตั้งครรภ์และคลอดลูก
- ท้องผูก: ลำไส้จะเคลื่อนไหวลำบากเป็นเวลาไม่กี่วันหลังจากคลอดลูกแล้ว ริดสีดวงทวารหนัก การตัดฝีเย็บ และกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ สามารถทำให้มีอาการปวดขณะลำไส้เคลื่อนไหวได้
- ร้อนๆ หนาวๆ: ร่างกายจะมีการปรับตัวกับระดับฮอร์โมนและการไหลเวียนเลือดที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้มีอาการร้อนๆ หนาวๆ คือ มีเหงื่อออก 1 นาที จากนั้นก็จะรู้สึกหนาวจนต้องห่มผ้าห่ม
- กลั้นปัสสาวะ, อุจจาระไม่อยู่: กล้ามเนื้อที่ยืดออกระหว่างการคลอด โดยเฉพาะภายหลังการคลอดที่กินระยะเวลานาน อาจทำให้ปัสสาวะเล็ดขณะหัวเราะ หรือจามได้ หรือทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ลำบาก ส่งผลให้กลั้นอุจจาระไม่อยู่ได้
- ปวดหลังคลอด: เมื่อคลอดลูกแล้ว มดลูกจะยังหดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 วัน ก่อนที่มดลูกจะกลับไปมีขนาดเท่ากับตอนก่อนตั้งครรภ์ คุณอาจรู้สึกถึงอาการปวดนี้ได้มากกว่าปกติขณะที่ทารกดูดนม
- น้ำคาวปลา: ภายหลังการคลอดคุณจะพบว่าร่างกายจะขับน้ำคาวปลาออกทางช่องคลอด เป็นเลือดในปริมาณมากกว่าประจำเดือนปกติ เมื่อเวลาผ่านไป สีจะจางลงเป็นสีขาวหรือสีเหลือง และจะหยุดไหลภายในระยะเวลา 2 เดือน
- อารมณ์เปลี่ยนแปลง: ภายหลังการคลอดอาจรู้สึกอารมณ์แปรปรวน, รู้สึกเศร้า, หรือร้องไห้ ซึ่งจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์หลังการคลอด อาการนี้จะพบได้มากถึง 80% ของคุณแม่มือใหม่ และอาจสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และ ความอ่อนเพลีย) และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เนื่องจากกังวลเรื่องการเลี้ยงลูก
ยาบรรเทาอาการปวด ยังสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ยาแก้ปวด และยาระงับความรู้สึก
ยาแก้ปวดจะบรรเทาอาการปวดโดยไม่ทำให้สูญเสียความรู้สึกหรือสูญเสียการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อไป ระหว่างการคลอด แพทย์อาจให้ยาเข้าสู่ร่างกายโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้เฉพาะที่โดยการฉีดเข้าบริเวณหลังส่วนล่างเพื่อทำให้ส่วนล่างของร่างกายรู้สึกชา การฉีดยาเข้าน้ำไขสันหลังจะบรรเทาอาการปวดได้อย่างรวดเร็ว เราเรียกว่า spinal block ส่วนอีกวิธีเรียกว่า epidural block จะเป็นการให้ยาอย่างต่อเนื่องเข้าที่บริเวณรอบๆ ไขสันหลังและเส้นประสาทไขสันหลัง ซึ่งจะมีการใส่เข็มเข้าไปที่บริเวณช่องเหนือไขสันหลัง (Epidural block) สำหรับทั้งสองวิธีนี้จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งจะทำให้หัวใจทารกเต้นช้าลงและปวดศีรษะได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สำหรับยาระงับความรู้สึก ถ้าเป็นการให้ยานี้ คุณจะสูญเสียการรับความรู้สึกทุกอย่าง รวมถึงอาการปวดด้วย โดยจะยาจะยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งจะทำให้คุณสลบ ถ้าคุณต้องทำการผ่าตัดคลอดคุณจะได้รับยาระงับความรู้สึกชนิดนี้ร่วมกับยาฉีดเฉพาะที่ไปพร้อมกัน การพิจารณาเลือกว่าคุณควรได้รับยาระงับความรู้สึกชนิดใดจะขึ้นกับสุขภาพของคุณและทารก และสภาวะทางการแพทย์ที่มีในช่วงระยะเวลาของการคลอด
· วิธีไม่ใช้ยา: สำหรับการบรรเทาอาการปวดโดยการไม่ใช้ยา ได้แก่ การฝังเข็ม, การสะกดจิต, การใช้เทคนิคผ่อนคลาย, การเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ ระหว่างการคลอด แม้ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีบรรเทาปวดโดยการไม่ใช้ยาแล้ว แต่คุณก็ยังสามารถขอยาแก้ปวดจากแพทย์ได้ตลอดเวลาระหว่างการคลอด
ภายหลังการคลอดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น เมื่อคลอดลูกและเข้าสู่ระยะฟื้นตัวแล้ว ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกายคุณเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการคลอด มีดังนี้:
หากปัญหาเรื่องอารมณ์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ให้แจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะอาจถือว่าเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้ ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าปกติ โดยพบได้ประมาณ 10-25% ของคุณแม่มือใหม่
https://www.webmd.com/baby/guide/normal-labor-and-delivery-process#1