กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

ยาระบาย (Laxatives)

เผยแพร่ครั้งแรก 29 ต.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ยาระบาย (Laxatives)

บทนำ

ยาระบาย (Laxatives) คือยาที่ช่วยเร่งการขับถ่าย เพิ่มการบีบตัวของลำไส้ เหมาะกับผู้ที่ขับถ่ายน้อย หรือรักษาอาการท้องผูกในรายที่ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่ได้ผล เช่น รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้มากขึ้น และออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นต้น โดยยาระบายสามารถหาซื้อได้เองจากร้านยาทั่วไป

ประเภทของยาระบาย

  • ยาระบายที่ทำให้อุจจาระเกาะตัวเป็นก้อน (Bulk-forming laxative) เช่น เทียนเกล็ดหอย (Psyllium Husk) และเมธิลเซลลูโลส (methylcellulose) เป็นต้น ซึ่งจะทำงานคล้ายกับอาหารที่มีเส้นใยสูง ซึ่งจะไปช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระ อุ้มน้ำ และเพิ่มการบีบตัวของลำไส้
  • ยาระบายเพิ่มปริมาตรน้ำ (Osmotic laxatives) เช่น แลคตูโลส (lactulose) และ โพลีเอทิลีนไกลคอล (polyethylene glycol) ซึ่งจะออกฤทธิ์โดยทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น และทำให้ขับออกมาจากลำไส้ง่ายยิ่งขึ้นโดยการดูดกลับน้ำเข้าสู่ลำไส้
  • ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxatives) เช่น บิซาโคดิล (Bisacodyl) และมะขามแขก (senna) เป็นต้น โดยยากลุ่มนี้จะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้โดยไปกระตุ้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อภายในลำไส้ให้บีบตัว
  • ยาที่ทำให้อุจจาระนิ่ม (Stool softener) เช่น ด็อกคูเสท โซเดียม (Docusate sodium) ซึ่งยากลุ่มนี้จะเพิ่มของเหลวลงในลำไส้ซึ่งส่งผลให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับออกมาได้ง่าย

วิธีการเลือกใช้ยาระบาย

ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาระบายแต่ละประเภท แต่การเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับการเลือกให้เหมาะสมกับเงื่อนไขของแต่ละบุคคลมากกว่า โดยเฉพาะภาวะโรคประจำตัวต่างๆ อาจเป็นตัวบ่งชี้การเลือกใช้ยาระบายแต่ละกลุ่ม

ในกรณีผู้ใหญ่ทั่วไปควรเลือกใช้ยาระบายที่ทำให้อุจจาระเกาะตัวเป็นก้อน (Bulk-forming laxative) เป็นตัวแรก โดยยากลุ่มนี้จะเริ่มออกฤทธิ์ในเวลา 2-3 วันหลังใช้ ถ้าหากอุจจาระยังคงแข็งและขับถ่ายยาก ควรเลือกใช้ยาระบายกลุ่มยาระบายเพิ่มปริมาตรน้ำ (Osmotic laxatives) เป็นลำดับถัดไป หากยังไม่ดีขึ้นจึงใช้ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxatives) โดยยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ภายใน 6-12 ชั่วโมง

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ยาระบาย

ยาในกลุ่มยาระบายนั้นจะไม่แนะนำให้ซื้อใช้เองในเด็ก และยาระบายบางกลุ่มอาจจะไม่ปลอดภัยในการใช้ในผู้ป่วยบางกรณี เช่น ผู้ที่เป็นโรคโครห์น (Crohn's Disease) หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis) เป็นต้น ดังนั้นก่อนใช้ยาระบายผู้ใช้ควรอ่านฉลากยาให้ครบถ้วนหรือปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาระบายเสมอ 

วิธีการใช้ยาระบาย

วิธีการใช้ยาระบายนั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของยาระบายแต่ละชนิด โดยรูปแบบที่มักจะพบได้แก่

  • รูปแบบเม็ด หรือแคปซูลสำหรับกลืน
  • รูปแบบผงละลายน้ำแล้วดื่ม
  • รูปแบบยาเหน็บ ใช้สำหรับเหน็บทางทวารหนักและรอให้ยาละลาย

โดยเวลาในการใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับแต่ละชนิด บางชนิดอาจจะใช้ตอนเช้าหีือบางชนิดจะเป็นการใช้ก่อนนอน โดยยาระบายกลุ่มที่ทำให้อุจจาระเกาะตัวเป็นก้อน (Bulk-forming laxative) นั้นในระหว่างกินยาควรดื่มน้ำเป็นปริมาณมาก เพื่อช่วยให้อุจจาระถูกขับออกมาได้ง่ายยิ่งขึ้น และในการใช้ยาไม่ควรใช้เกินขนาดที่แต่ละชนิดกำหนดไว้

ควรใช้ยาระบายเป็นระยะเวลานานเท่าใด

ควรใช้ยาระบายเป็นระยะเวลาให้สั้นที่สุด และหยุดใช้เมื่ออาการท้องผูกหายแล้ว หลังจากใช้ยาระบายรักษาอาการท้องผูกแล้ว ควรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย เพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น การดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีเส้นใย และออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งวิธีการเหล่านี้นั้นดีกว่าการใช้ยาระบายเนื่องจากจะทำให้ร่างกายชินกับการใช้ยาระบายและไม่สามารถขับถ่ายเองได้ในอนาคต

ผลข้างเคียงของการใช้ยาระบาย

  • ท้องอืดท้องเฟ้อ มีลมมาก
  • ปวดเกร็งท้อง
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ร่างกายสูญเสียน้ำ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการวิงเวียน หน้ามืด ปัสสาวะมีสีเข้ม
  • การใช้ยาระบายเป็นเวลานานจะทำให้มีอาการท้องเสีย และขาดเกลือแร่หรือวิตามินได้

ทางเลือกอื่นที่สามารถใช้แทนยาระบายได้

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยลดอาการท้องผูกได้ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มใช้ยาระบาย ควรหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อน โดยวิธีการดังนี้

  • เพิ่มปริมาณเส้นใยที่รับประทานต่อวัน โดยปกติควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยประมาณ 30 กรัมต่อวัน โดยอาหารที่มีเส้นใยสูงได้แก่ ผัก ผลไม้ และ ธัญพืช
  • การเพิ่มกลุ่มที่เพิ่มมวลอุจจาระลงในอาหารเช่น พวกรำข้าว แมงลัก เทียนเกล็ดหอย จะช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มแต่อาจทำให้ท้องอืดได้บ้าง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

ผู้ที่ต้องระมัดระวังในการใช้ยาระบาย

  • มีประวัติการเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้หือทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) โรคโครห์น (Crohn's Disease) หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง (Ulcerative colitis) เป็นต้น
  • ผู้ที่ได้รับการมีลำไส้เปิดทางหน้าท้อง (colostomy) หรือ การทำลำไส้เล็กเปิดทางหน้าท้อง (Ileostomy)
  • มีประวัติการเป็นโรคตับหรือไต
  • ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • มีภาวะการอุดกั้นในทางเดินอาหาร
  • เป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากยาระบายบางชนิดสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้
  • มีภาวะกลืนลำบาก (dysphagia)
  • มีอาการแพ้น้ำตาลแล็กโทส (lactose intolerance) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของยาระบายบางชนิด
  • มีภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยสลายกรดอะมิโนฟีนิลอะลานีนหรือ โรคฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) ซึ่งในยาระบายบางชนิดนั้นมีฟีนิลอะลานีนเป็นส่วนประกอบ

การใช้ยาระบายในเด็ก

ไม่แนะนำให้ใช้ยาระบายในเด็ก หากเด็กมีอาการท้องผูก ควรเริ่มแก้ไขโดยการให้ดื่มน้ำมากขึ้นในระหว่างมื้อ นวดเบาๆบริเวณหน้าท้องก็อาจจะช่วยได้เช่นกัน

ในเด็กที่เริ่มกินอาหารแข็งได้ อาจจะเริ่มใช้ยาระบายได้ แต่ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากลองให้ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้แล้ว

หากมีความจำเป็นต้องใช้แล้วนั้น ควรเลือกใช้ยาระบายเพิ่มปริมาตรน้ำ (Osmotic laxatives) ก่อนร่วมการให้รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง และปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

 

 


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
List of Laxatives + Uses, Types & Side Effests. Drugs.com. (https://www.drugs.com/drug-class/laxatives.html)
Laxative Types for Constipation Relief, Weight Loss & Side Effects. MedicineNet. (https://www.medicinenet.com/laxatives_for_constipation/article.htm)
Laxatives for Constipation: Treatments, Use, Safety. WebMD. (https://www.webmd.com/digestive-disorders/laxatives-for-constipation-using-them-safely#1)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง
สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง

ภาวะนี้คืออะไร อันตรายหรือไม่ และเมื่อไหร่ที่ต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ

อ่านเพิ่ม
ประวัติของ การแพทย์แผนโบราณ ในประเทศไทย ในอดีต จนถึงปัจจุบัน
ประวัติของ การแพทย์แผนโบราณ ในประเทศไทย ในอดีต จนถึงปัจจุบัน

ประวัติ และการเปลี่ยนแปลงของแพทย์แผนโบราณในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

อ่านเพิ่ม