โรคตาจากเบาหวาน เป็นกลุ่มของปัญหาทางตาที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งประกอบไปด้วยโรคหลายโรค ได้แก่ ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (diabetic retinopathy), จอประสาทตาบวมน้ำบริเวณจุดภาพชัด (diabetic macular edema), ต้อกระจก (cataracts) และต้อหิน (glaucoma)
เมื่อเวลาผ่านไป โรคเบาหวานสามารถสร้างความเสียหายกับดวงตา และนำไปสู่การมองเห็นที่ลดลง และอาจทำให้ตาบอดได้ แต่คุณสามารถปฏิบัติตนตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อป้องกันโรคตาจากเบาหวานได้ หรือช่วยให้อาการของโรคตาจากเบาหวานไม่ได้แย่ลง ได้โดยการควบคุมดูแลรักษาโรคเบาหวาน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมโรคเบาหวาน และช่วยให้ตายังคงมีสุขภาพดี มีดังนี้
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล หรือเรียกอีกอย่างว่า การใช้หลักการ ABCs
- ถ้าคุณสูบบุหรี่ แนะนำให้เข้ารับการช่วยเหลือเรื่องการเลิกบุหรี่
- เข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์ปีละ 1 ครั้ง
ในช่วงแรกของการเป็นโรคตาจากเบาหวาน หรือ ขณะที่มีการสูญเสียการมองเห็นในระยะแรก จะไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ดังนั้นการตรวจสุขภาพดวงตากับจักษุแพทย์จะช่วยให้แพทย์รู้ปัญหาได้เร็วและรักษาคุณอย่างทันท่วงทีก่อนที่จะมีการสูญเสียการมองเห็นในขั้นรุนแรง
โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อตาได้อย่างไร
โรคเบาหวานส่งผลกระทบต่อตาเมื่อระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงเกินไป
ผลในระยะสั้น: คุณจะยังมีความเสี่ยงน้อยต่อการสูญเสียการมองเห็นจากระดับน้ำตาลกลูโคสที่สูง ผู้ป่วยบางรายอาจมีการมองเห็นภาพไม่ชัดได้เป็นระยะเวลาไม่กี่วันหรือสัปดาห์หลังการเปลี่ยนแผนการรักษาโรคหรือเปลี่ยนยา ระดับน้ำตาลกลูโคสที่สูงสามารถเปลี่ยนระดับของเหลวหรือทำให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อตาที่เกี่ยวข้องกับการโฟกัสวัตถุ ทำให้มีการมองเห็นภาพไม่ชัดเกิดขึ้น การมองเห็นภาพไม่ชัดในกรณีนี้เป็นเพียงชั่วคราว และจะหายได้หากระดับน้ำตาลกลูโคสลดระดับลงใกล้ค่าปกติ
ถ้าระดับน้ำตาลกลูโคสยังคงสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน: จะทำให้เกิดการทำลายเส้นเลือดขนาดเล็กข้างหลังดวงตาได้ ความเสียหายนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงมีภาวะก่อนเป็นเบาหวาน (ช่วงที่ระดับน้ำตาลกลูโคสสูงกว่าค่าปกติ แต่ไม่สูงพอที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน) ความเสียหายที่เกิดกับหลอดเลือด จะทำให้ของเหลวในหลอดเลือดรั่วออกมา และทำให้เกิดการบวมเกิดขึ้น ทำให้หลอดเลือดใหม่ที่อ่อนแอมีการสร้างขึ้นทดแทน
ตรวจตา รักษาโรคตาวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 437 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หลอดเลือดเหล่านี้สามารถเกิดเลือดออกได้บริเวณส่วนกลางของตา ทำให้เกิดรอยแผลเป็น หรือทำให้เกิดความดันภายในลูกตาสูงที่อันตรายได้ โรคตาจากเบาหวานที่ร้ายแรงส่วนใหญ่เริ่มต้นจากปัญหาของหลอดเลือด โรคตาทั้ง 4 ชนิดที่สามารถคุกคามการมองเห็นมีดังนี้
ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (diabetic retinopathy)
จอประสาทตา หรือจอตา (retina) เป็นเนื้อเยื่อที่บุอยู่ด้านในลึกสุดของดวงตา จอประสาทตาจะมีความไวต่อแสงและเปลี่ยนสิ่งที่มองเห็นเป็นสัญญาณไปที่สมอง เพื่อให้สมองประมวลผลแล้วเห็นเป็นภาพเกิดขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดจะทำให้เกิดอันตรายต่อจอประสาทตา ทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า เบาหวานขึ้นจอประสาทตา (diabetic retinopathy)
ในระยะแรกของการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นจอประสารทตานั้น หลอดเลือดจะอ่อนแอ บวม และมีการรั่วของสารน้ำในหลอดเลือดเข้าสู่จอประสาทตา ในระยะนี้เราเรียกว่า nonproliferative diabetic retinopathy
ถ้าโรคเป็นมากขึ้น หลอดเลือดบางเส้นจะหยุดการทำหน้าที่ เป็นสาเหตุให้เส้นเลือดใหม่มีการสร้างและเติบโตขึ้นที่บริเวณผิวของจอประสาทตา ในระยะนี้เรียกว่า proliferative diabetic retinopathy ซึ่งหลอดเลือดใหม่ผิดปกติที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นที่ร้ายแรง
จอประสาทตาบวมน้ำบริเวณจุดภาพชัด (diabetic macular edema)
แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจหมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
กดส่วนของจอประสาทตาที่จำเป็นสำหรับการอ่านหนังสือ การขับรถ และการมองเห็นใบหน้า เราเรียกส่วนนั้นว่า macula (บริเวณจุดกลางรับภาพของจอประสาทตา) โดยโรคเบาหวานจะทำให้เกิดการบวมที่บริเวณ macula นี้ทำให้เกิดภาวะจอประสาทตาบวมน้ำบริเวณจุดภาพชัด (diabetic macular edema) เกิดขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปโรคนี้จะทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นที่คมชัด ทำให้สูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทำให้เกิดการตาบอดได้ จอประสาทตาบวมน้ำนี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอาการแสดงอื่นๆ ของภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาอยู่แล้ว
ต้อหิน (glaucoma)
ต้อหิน คือกลุ่มโรคของดวงตา ที่สามารถทำให้เกิดการทำลายเส้นประสาทตา หรือ optic nerve ซึ่งเป็นกลุ่มของเส้นประสาทที่เสื่อมระหว่างตากับสมอง โรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินถึงสองเท่า ทำให้การมองเห็นลดลงและถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เกิดตาบอดในที่สุด อาการของโรคนี้จะขึ้นกับชนิดของต้อหิน
ต้อกระจก (cataracts)
เลนส์ตา ปกติจะเป็นลักษณะใส เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพที่คมชัด แต่เลนส์ตาจะมีแนวโน้มขุ่นมัวขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดการขุ่นของเลนส์ตา หรือเรียกว่า โรคต้อกระจก (cataracts) ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถเกิดโรคต้อกระจกได้ในช่วงอายุน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน นักวิจัยคิดว่าระดับน้ำตาลกลูโคสที่สูงจะทำให้เกิดการสะสมที่เลนส์ดวงตา
โรคตาจากเบาหวานพบบ่อยแค่ไหน
ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอายุมากกว่า 40 ปี จะมีอาการแสดงของภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาบางอาการ ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเป็นโรคที่พบบ่อย และนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน การตรวจพบและรักษาโรคนี้ตั้งแต่ระยะแรกๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดตาบอดได้ 95%
ต้อหิน (glaucoma) และต้อกระจก (cataracts)
คุณจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่อหิน หรือ ต้อกระจกได้มากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน 2 เท่า
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตาจากเบาหวาน
ใครก็ตามที่เป็นโรคเบาหวานสามารถเกิดโรคตาจากเบาหวานได้ทุกคน โดยความเสียงจะเพิ่มขึ้นถ้า
- มีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง และไม่ได้รับการรักษา
- มีระดับความดันโลหิตสูง และไม่ได้รับการรักษา
- ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูง และการสูบบุหรี่ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตาจากเบาหวาน
ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวานและกำลังตั้งครรภ์ คุณจะมีโอกาสเกิดปัญหาที่ตาเร็วกว่าคนอื่นในขณะที่ตั้งครรภ์ ถ้าคุณมีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาอยู่ก่อนแล้ว จะทำให้อาการแย่ลงได้ระหว่างตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์จะทำให้เกิดแรงเครียดที่เส้นเลือดในดวงตา แพทย์จะพิจารณาให้คุณตรวจตาเป็นประจำระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะถ้าตรวจพบโรคนี้ระหว่างตั้งครรภ์ได้เร็วจะได้รีบรักษาได้ทันก่อนที่จะสูญเสียการมองเห็น
โรคเบาหวานที่เกิดขึ้นเฉพาะระหว่างการตั้งครรภ์ เรียกว่า ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes) มักไม่ทำให้เกิดปัญหาที่ตา ซึ่งนักวิจัยยังไม่ทราบว่าทำไม โอกาสในการเป็นโรคตาจากเบาหวานจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวานของคุณ
อาการของโรคตาจากเบาหวาน
มักจะไม่มีอาการในระยะเริ่มแรกของโรคตาจากเบาหวาน คุณอาจไม่มีอาการปวด หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงการมองเห็นใดๆ ในระยะเริ่มแรกที่มีความเสียหายเห็นขึ้นในภายดวงตา โดยเฉพาะภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
เมื่อมีอาการเกิดขึ้น อาการเหล่านั้นมีดังนี้
- มองเห็นภาพไม่ชัด หรือเห็นภาพเป็นคลื่น
- วิสัยทัศน์การมองเห็นเปลี่ยนบ่อย บางครั้งเปลี่ยนกันวันต่อวัน
- มองเห็นบางส่วนเป็นสีดำมืด หรือสูญเสียการมองเห็น
- การมองเห็นสีผิดปกติ
- เห็นจุดดำ
- เห็นการกระพริบของแสง
ให้พบจักษุแพทย์ทันที ถ้าคุณมีอาการดังกล่าว
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์ทันที
ให้ไปพบแพทย์ทันที ถ้าคุณมีอาการเตือนของการเปลี่ยนแปลงการมองเห็น รวมถึง การมองเห็นแสงกระพริบ หรือมีหลายจุดขึ้นในดวงตามากกว่าปกติ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการมองเห็นอาจเป็นอาการของการหลุดลอกของจอประสาทตา ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉิน
การวินิจฉัยโรคตาจากเบาหวานทำอย่างไร
การเข้ารับการตรวจตาโดยละเอียดกับจักษุแพทย์คือวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจเช็คปัญหาเกี่ยวกับดวงตาจากโรคเบาหวาน โดยแพทย์จะทำการหยดยาหยอดตาที่ดวงตาเพื่อขยายรูม่านตา ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถตรวจตาได้อย่างชัดเจน และมองเห็นได้กว้างจนถึงด้านหลังของดวงตาคุณ โดยแพทย์จะใช้เครื่องแว่นขยายพิเศษในการตรวจ การมองเห็นจะมัวลงได้ชั่วคราวไม่กี่ชั่วโมงหลังการตรวจ
แพทย์จะทำสิ่งต่อไปนี้
- ทดสอบการมองเห็น
- วัดความดันลูกตา
แพทย์อาจแนะนำการตรวจอื่นๆ ขึ้นอยู่กับประวัติทางสุขภาพของคุณ
ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเข้ารับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งทีมแพทย์ที่ดูแลคุณอาจแนะนำแผนการรักษาที่แตกต่างกันออกไปได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาหวานและระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวานของคุณ
แนวทางในการตรวจตาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- เบาหวานชนิดที่ 1 : ตรวจตาทุกปี ควรเริ่มภายใน 5 ปีหลังการวินิจฉัยโรค
- เบาหวานชนิดที่ 2 : ตรวจตาทุกปี ควรเริ่มทันทีภายหลังการวินิจฉัยโรค
- ตั้งครรภ์ : ผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาก่อนการตั้งครรภ์หรือภายใน 3 เดือนแรก แพทย์อาจต้องการการตรวจตาซ้ำในระหว่างการตั้งครรภ์และจนกว่าทารกจะมีอายุ 1 ปี
ผู้หญิงที่เป็นภาวะเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจตา เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะไม่เกิดโรคตาจากเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ ถ้าคุณมีคำถามเพิ่มเติม ให้ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลคุณ
การรักษาโรคตาจากเบาหวาน
แพทย์อาจแนะนำให้คุณตรวจตามากกว่าปีละ 1 ครั้ง รวมกับการควบคุมดูแลโรคเบาหวาน ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตามหลักการ ABCs คือ การควบคุมระดับน้ำตาลสะสม, ระดับความดันโลหิต, และระดับคอเลสเตอรอล และเลิกสูบบุหรี่ ให้ปรึกษาทีมแพทย์ที่ดูแลคุณว่าคุณควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด แพทย์อาจพิจารณารักษาโรคตาที่รุนแรงโดยการใช้ยา การใช้เลเซอร์ การผ่าตัด หรือใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน
ยา
แพทย์อาจพิจารณาใช้ยา anti-VEGF ในการรักษาตาคุณ เช่น ยา อะฟิเบอร์เซฟ (aflibercept), บีวาร์ซิซูแมบ (bevacizumab) หรือ รานิบิซูแมบ (ranibizumab) ยาเหล่านี้จะยับยั้งการเติบโตของเส้นเลือดผิดปกติภายในดวงตา ซึ่งจะช่วยหยุดยั้งการเกิดการรั่วไหลของของเหลวในตา ทำให้รักษาจอประสาทตาบวมน้ำบริเวณจุดภาพชัดได้
แพทย์จะฉีดยา anti-VEGF เข้าไปในดวงตาของคุณ คุณอาจมีหลายการรักษาร่วมกันในช่วงเดือนแรกๆ ของการรักษา และลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แพทย์จะใช้ยาชากับดวงตาของคุณก่อนการฉีดยาเข้าไป ดังนั้นคุณจะไม่รู้สึกเจ็บ โดยเข็มจะมีความหนาเท่าเส้นผมของมนุษย์เท่านั้น
ยา Anti-VEGF จะหยุดยั้งการสูญเสียการมองเห็นในอนาคต และอาจช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้นในผู้ป่วยบางราย
การรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ การรักษาด้วยวิธีนี้จะรักษาการรั่วของหลอดเลือดและของเหลวภายในดวงตา หรือที่เรียกว่าการบวม (edema) แพทย์จะรักษาคุณโดยใช้ยาชากับดวงตาก่อนใช้แสงเลเซอร์รักษา การใช้เลเซอร์รักษาจะป้องกันไม่ให้โรคแย่ลงกว่าเดิม และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอด แต่การใช้เลเซอร์จะได้ผลในการรักษา คือทำให้การมองเห็นกลับมาเหมือนเดิมได้ไม่ดีเท่ากับการใช้ยา anti-VEGF
ชนิดของเลเซอร์ มีอยู่ 2 ชนิด คือ
- Focal/grid laser ซึ่งจะทำงานบนพื้นที่เล็กๆ ของจอประสาทตา เพื่อรักษาจอประสาทตาบวมน้ำบริเวณจุดภาพชัด
- Scetter laser จะเป็นการรักษาบนพื้นที่กว้างกว่าของจอประสาทตา ทำให้รักษาการเติบโตที่ผิดปกติของเส้นเลือดในตา ที่เรียกว่า proliferative diabetic retinopathy ได้
การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy)
การผ่าตัดวุ้นตา หรือ vitrectomy คือการผ่าตัดเพื่อกำจัดเอาเจลใสที่อยู่ภายในส่วนกลางของลูกตาออก หรือเรียกว่า vitreous gel การรักษาด้วยวิธีนี้จะใช้รักษาการเกิดเลือดออกที่รุนแรง หรือเนื้อเยื่อแผลเป็นที่เกิดจาก proliferative diabetic retinopathy เนื้อเยื่อแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะไปกระตุ้นให้จอประสาทตาลอกออกได้ คล้ายๆ กับวอลเปเปอร์ลอกออกจากผนังบ้าน ถ้าจอประสาทตาลอกอย่างสมบูรณ์แบบจะทำให้ตาบอดในที่สุด
ระหว่างการผ่าตัดวุ้นตา จะมีการปั้มสารละลายเกลือใสเข้าไปในดวงตา เพื่อรักษาความดันภายในลูกตาระหว่างการผ่าตัด การผ่าตัดนี้จะต้องกระทำในโรงพยาบาลที่มีห้องผ่าตัด
การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา (Cataract Lens Surgery)
แพทย์จะผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาที่ขุ่นออก (หากเป็นต้อกระจก) และใช้เลนส์ตาเทียมแทน ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาจะมีการมองเห็นที่ดีขึ้น ภายหลังจากหายดีแล้ว คุณอาจจำเป็นต้องได้รับการสั่งตัดแว่นตา การมองเห็นภายหลังการผ่าตัดนี้จะขึ้นอยู่กับปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา หรือ จอประสาทตาบวมน้ำ ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านั้น
ฉันควรทำอย่างไรเพื่อปกป้องดวงตา
ในการป้องกันโรคตาจากเบาหวาน หรือป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง ให้ปฏิบัติตามหลักการควบคุมโรคเบาหวาน หรือหลักการ ABCs คือ ควบคุมระดับน้ำตาลสะสม ระดับความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล และเลิกสูบบุหรี่ ถ้าคุณสูบ
เข้ารับการตรวจตาอย่างละเอียดกับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยมากกว่านั้นตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ที่ดูแลคุณ การปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการปกป้องดวงตาของคุณและป้องกันตาบอดได้
ยิ่งดูแลรักษาโรคเบาหวานและโรคร่วมอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน ยิ่งดีเท่านั้น และแม้ว่าในอดีตคุณจะมีปัญหาในการควบคุมดูแลโรคของคุณ การดูแลตัวเองให้ดีตั้งแต่วันนี้จะช่วยปกป้องสุขภาพดวงตาของคุณได้ ไม่มีคำว่าสายเกินไป
ถ้าฉันมีการสูญเสียการมองเห็นจากโรคเบาหวาน จะต้องทำอย่างไร
ให้ปรึกษาจักษุแพทย์ จักษุแพทย์จะช่วยคุณจัดการปัญหาการมองเห็นที่ลดลงได้ การใช้อุปกรณ์พิเศษและการเข้ารับการอบรมจะช่วยให้คุณยังคงสภาพการมองเห็นให้ดีที่สุด และมีชีวิตต่อไปตามปกติได้ เช่น สังสรรค์ พบปะเพื่อนฝูง ครอบครัว ทำงานอดิเรก และมีชีวิตโดยปราศจากการช่วยเหลือจากผู้อื่น
เราป่วยเป็นโรคความดัน และเบาหวานรับยาต่อเนื่อง