ดอกขจร (Cowslip creeper)

คุณค่าทางโภชนาการ สรรพคุณต่อร่างกายของ ดอกขจร ผักพื้นบ้านที่นำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท
เผยแพร่ครั้งแรก 20 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 12 มิ.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ดอกขจร (Cowslip creeper)

ดอกขจร เป็นผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท หรือจะนำมาลวกจิ้มกินกับน้ำพริกก็อร่อย และมีวิธีการปลูกและดูแลง่าย ชาวชนบทจึงนิยมปลูกไว้รับประทานเองตามบ้านเรือน แต่ไม่เพียงเฉพาะส่วนดอกเท่านั้นที่มีประโยชน์และสรรพคุณทางยา ส่วนอื่นๆ ของต้นขจรก็สามารถนำมาใช้เข้าตำรับยารักษาโรคต่างๆ ได้เช่นกัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Telosma minor Craib

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ชื่อวงศ์ ASCLEPIADACEAE

ชื่อพ้อง Pergularia minor Andrews

ชื่ออังกฤษ Cowslip creeper

ชื่อท้องถิ่น สลิด กะจอน ขะจอน สลิดป่า ผักสลิดคาเลา ผักขิก

ถิ่นกำเนิดของต้นขจร

ต้นขจร ซึ่งเป็นที่มาของดอกขจรที่หลายคนนำมาประกอบอาหาร มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและอินเดีย ประเทศแถบร้อนและแถบเส้นศูนย์สูตรในเขตเอเชีย ในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาค โดยจะขึ้นได้ตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ป่าเต็งรัง นอกจากนี้ในประเทศแถบทวีปยุโรปยังมีการปลูกเป็นไม้ประดับอีกด้วยเนื่องจากมีดอกที่สวยงาม กลิ่นหอมในยามเย็น

ต้นขจรที่นิยมปลูกในประเทศไทย มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ต้นขจรสายพันธุ์พื้นบ้าน ซึ่งจะมีดอกขนาดเล็ก ดอกขจรออกเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น ส่วนอีกสายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่ชาวสวนนำมาตัดต่อทางพันธุกรรมและพัฒนาจากสายพันธุ์พื้นบ้าน ให้ออกดอกมีขนาดที่ใหญ่กว่าสายพันธุ์เดิม และออกดอกดกตลอดทั้งปี เรียกว่าต้นขจรสายพันธุ์ดอก

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นขจร

ต้นขจรเป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันกับต้นไม้ชนิดอื่น สามารถเลื้อยพันไปได้ไกลประมาณ 2-5 เมตร เถามีขนาดเล็ก ลักษณะกลมเหนียวมากและเป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาขจรจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ตามยอดอ่อนมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม แตกใบเป็นพุ่มแน่นและทึบ ดอกขจรออกช่อคล้ายพวงอุบะ ออกดอกตามซอกหรือตามช่อกิ่งเป็นพวง กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกชำมะนาด หรือกลิ่นใบเตย กลีบดอกขจรมีสีเหลืองหรือเขียวอมเหลือง ผลมีลักษณะกลมและยาวคล้ายฝักนุ่น ขนาดเล็ก ผลแก่จะแตกออกได้ มีเมล็ดปลิวว่อนตามลมคล้ายนุ่น มีเมล็ดเกาะติดกับใยสีขาว

คุณค่าทางโภชนาการของดอกขจร

ดอกขจรน้ำหนัก 100 กรัม ให้พลังงาน 72 กิโลแคลลอรี่

ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย (ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม)

สรรพคุณของดอกขจร

  • ตามสรรพคุณในคัมภีร์แพทย์กล่าวว่า ดอกและยอดอ่อนมีรสขมเย็น ใช้เข้าตำรับรักษาโลหิตเป็นพิษ เช่น อาการตัวร้อนเป็นไฟ เป็นต้น โบราณให้ต้มดอกและยอดอ่อนในน้ำเดือด แล้วดื่มเพื่อบรรเทาอาการไข้ ตัวร้อน
  • ดอกขจรสามารถช่วยบำรุงโลหิต ในคนที่เลือดลมไหลเวียนไม่ค่อยดีหรือสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ให้รับประทานดอกขจรเป็นอาหาร
  • ดอกและยอดอ่อนของส่วนใบ มีรสเย็นและกลิ่นหอม โบราณจึงมักนำไปเป็นส่วนประกอบของยาหอม มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงครรภ์ บรรเทาอาการวิงเวียนและอ่อนเพลีย โดยนำส่วนดอกและยอดไปตากแห้ง แล้วบดเป็นผงจากนั้นผสมกับผงยาหอม ละลายในน้ำร้อนแล้วดื่มขณะอุ่นๆ จะหอมชื่นใจ
  • ราก มีรสเมาเบื่อเย็น นำมาต้มกับน้ำ ดื่มเพื่อถอนพิษจากไข้ และบรรเทาอาการอาเจียน
  • นำรากมาฝนกับน้ำดอกไม้เทศ แล้วนำมาหยอดตาแก้ตาอักเสบ ตาแดง ตาแฉะ ตามัว
  • แก่นและเปลือกจากลำต้นมีรสเมาเบื่อเย็นเช่นเดียวกับส่วนราก นำมาต้มกับน้ำ ดื่มเพื่อบำรุงกำลัง

ดอกขจรช่วยบำรุงปอด ตับ หัวใจ ได้จริงหรือไม่?

จากการค้นหางานวิจัยของดอกขจร ยังไม่พบการศึกษาใดที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์บำรุงปอด บำรุงหัวจ บำรุงตับของดอกขจร ส่วนงานวิจัยฤทธิ๋อื่นๆ ถูกนำมาศึกษาวิจัยค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่นั้นวิจัยในระดับหนูทดลองและหลอดทดลองเท่านั้น หากนำมาใช้ในคน ผลการรักษาอาจจะยังไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร

การนำดอกขจรมาปรุงอาหาร

ยอดอ่อนของดอกและผลอ่อนจะออกในช่วงต้นของฤดูฝน นิยมรับประทานเป็นผัก สามารถทานสดหรือลวกให้สุกก็ได้ ทานคู่กับน้ำพริก หรือนำมาประกอบอาหาร เมนูยอดนิยมคือ ดอกขจรผัดไข่ แกงส้มดอกขจร แกงจืดดอกขจร แกงเลียงดอกขจร หรือนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ เช่น ผัดดอกขจรกับปลาหมึก เป็นต้น นอกจากจะเป็นนำมาประกอบอาหารคาวแล้ว ยังสามารถทำเป็นของหวานได้อีกด้วย โดยนำดอกขจรมานึ่งให้สุก ผสมกับมะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวแก่ขูดฝอย นำมาปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและเกลือเล็กน้อย เรียกว่า ขนมดอกขจร

ดอกขจรมีผลข้างเคียงหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?

ส่วนใหญ่งานวิจัยของต้นขจรในระดับหนูทดลองและหลอดทดลองเท่านั้น ยังไม่พบการศึกษาความเป็นพิษในคน หรือรายงานความเป็นพิษในคน แต่อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเจ็บป่วย แล้วประสงค์จะรับประทานต้นขจรหรือยาที่มีต้นขจรเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง หรือติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน แต่ถ้าหากรับประทานเป็นอาหารทั่วๆ ไป ก็ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ผักพื้นบ้าน, 2540.
มูลนิธิส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิมฯ, ตำราเภสัชกรรมไทย, 2547.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
วิตามินกับการรับประทานอาหาร ที่มีสารต่อต้านริ้วรอย
วิตามินกับการรับประทานอาหาร ที่มีสารต่อต้านริ้วรอย

รับประทานวิตามินเพื่อการชะลอวัยอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

อ่านเพิ่ม