อาการไอเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามปกติของร่างกายเพื่อช่วยล้างคอให้โล่งขึ้น โดยกำจัดของเสีย เมือก สารระคายเคือง หรือสิ่งแปลกปลอมออกไปจากลำคอ อาการไอสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- อาการไอเฉียบพลัน (Acute Cough) : อาการไอที่กินเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์
- อาการไอกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Cough) : อาการไอที่กินเวลาตั้งแต่ 3 - 8 สัปดาห์
- อาการไอเรื้อรัง (Chronic Cough) : อาการไอที่กินเวลานานกว่า 8 สัปดาห์
หากคุณมีอาการไอเป็นเลือดหรือไอแล้วมีเสียงแปลกคล้ายเสียงสุนัขเห่า ให้รีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน นอกจากนี้หากพบว่าอาการไอไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ อาจเกิดจากภาวะร้ายแรง ซึ่งคุณควรไปพบแพทย์โดยเร่งด่วนเช่นกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของอาการไอ
อาการไออาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยชั่วคราว และปัจจัยถาวร ได้แก่
- การกำจัดของเสียและสิ่งแปลกปลอม : อาการไอเป็นหนึ่งในวิธีที่ร่างกายใช้ทำความสะอาดลำคอ เมื่อทางเดินหายใจเต็มไปด้วยน้ำมูก เสมหะ หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น ควันหรือฝุ่นละออง จะเกิดการไอขึ้นเพื่อกำจัดของเสียดังกล่าวและทำให้หายใจได้โล่งและง่ายขึ้น
- การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย : สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการไอ คือ การติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจมักเกิดจากไวรัสและอาจเป็นได้ตั้งแต่ 2-3 วันจนถึงหนึ่งสัปดาห์
- การสูบบุหรี่ : อาการไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่ มักเป็นอาการไอเรื้อรังที่มีเสียงดังเป็นประจำและเป็นลักษณะเฉพาะของเสียงไอจากผู้สูบ
- โรคหอบหืด : สาเหตุที่พบบ่อยของการไอในวัยเด็กเล็ก คือ โรคหอบหืด โดยปกติแล้ว อาการไอจากหอบหืดมักทำให้เกิดเสียงวี้ดในลำคอ แปลกไปจากการไอตามปกติและสังเกตได้ง่าย
- โรคกรดไหลย้อน (GERD) : ซึ่งทำให้อาหารและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลกลับเข้าไปในหลอดอาหาร ส่วนผสมดังกล่าวจะระคายเคืองหลอดลมกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอ
- ยาบางชนิด : ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการไอ แม้จะเป็นผลข้างเคียงที่ไม่พบบ่อยนัก ยากลุ่มหนึ่งที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจบางชนิดที่ชื่อว่า Angiotensin-Converting Enzyme (ACE) Inhibitors สามารถทำให้เกิดอาการไอได้ โดยอาการไอจะหยุดลงเมื่อหยุดยา
- สาเหตุอื่นๆ ที่สามารถทำให้เกิดอาการไอ ได้แก่
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์
อาการไอส่วนใหญ่จะหายไปเอง หรือจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าหากผ่านไป 2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีอากาเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- มีไข้
- ปวดหน้าอก
- ปวดศีรษะ
- ง่วงนอน
- สับสน มึนงง
- ไอเป็นเลือด
- หายใจติดขัด
การวินิจฉัยทางการแพทย์
โดยปกติ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายโดยการตรวจดูในลำคอ ฟังเสียงไอ และซักประวัติเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการที่เกี่ยวข้อง หากอาการไอมีสาเหตุมาจากแบคทีเรีย แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะให้ทาน
แต่ถ้าหากแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุของอาการไอจากการตรวจร่างกายและซักประวัติ ก็อาจมีการตรวจเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
- การถ่ายภาพเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อประเมินสุขภาพของปอด
- การตรวจเลือด
- การตรวจอาการแพ้บนผิวหนัง
- การตรวจเสมหะเพื่อนำมาวิเคราะห์หาการติดเชื้อของแบคทีเรีย หรือเชื้อวัณโรค
การรักษาอาการไอ
อาการไอสามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ ในวัยผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี การรักษาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การดูแลตนเองที่บ้าน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้คอ ด้วยการดื่มน้ำปริมาณมาก
- ใช้ยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการระคายคอของคุณ
- กลั้วและบ้วนน้ำเกลืออุ่นเป็นประจำ เพื่อขจัดเสมหะและบรรเทาอาการระคายคอ
- หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง เช่น ควันและฝุ่น
- เพิ่มน้ำผึ้งหรือขิงลงในชาร้อน เพื่อบรรเทาอาการไอ
- ใช้สเปรย์แก้คัดจมูก เพื่อลดน้ำมูกและทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
การป้องกันอาการไอ
อาการไอที่เกิดจากการกำจัดของเสียและสิ่งแปลกปลอมไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากเป็นกลไกของร่างกายอย่างหนึ่ง แต่อาการไอที่เกิดจากสาเหตุอื่น สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- หยุดสูบบุหรี่ : การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญของอาการไอ ซึ่งยากมากที่จะทำการรักษา ในปัจจุบันมีทางเลือกมากมายที่สามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หลังจากเลิกบุหรี่แล้ว โอกาสที่จะเป็นหวัด หรือทรมานจากอาการไอเรื้อรังก็จะลดลงอย่างเห็นชัด
- เปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร : มีหลักฐานจากการศึกษาหลายชิ้นที่แสดงว่า คนที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใย และสารต้านอนุมูลอิสระเช่น ฟลาโวนอยด์ จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการไอเรื้อรังได้
ที่มาของข้อมูล
Kati Blake, What causes cough? (https://www.healthline.com/symptom/cough), March 16, 2017.