หากพึ่งมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และมีประจำเดือนช้ากว่าปกติ ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่ โดยวิธีการสังเกตที่ง่ายที่สุดก็คือการติดตามประจำเดือน แต่วิธีการนี้จะทำได้ยาก หากไม่ทราบระยะเวลาของรอบเดือนตามปกติของตนเอง หรือเป็นผู้ที่รอบเดือนมาไม่ตรงกันโดยตลอด ซึ่งจะต้องสังเกตจากอาการอื่นๆ แทน
คนส่วนมากมักจะสังเกตเห็นสัญญาณการตั้งครรภ์ หลังจากเริ่มการที่มีการตั้งครรภ์ไปแล้ว 2 สัปดาห์ ซึ่งหลายคนก็มักจะทราบแล้วว่าประจำเดือนขาดหายไป หรือเมื่อผลทดสอบการตั้งครรภ์ออกมาเป็นบวก
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สัญญาณของร่างกายที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
สัญญาณต้องสงสัยจะตั้งครรภ์
- ประจำเดือนขาด (Amenorrhea)
- คลื่นไส้ อาเจียน และหน้ามืด
- กดเจ็บที่เต้านมและเต้านมขยาย
- เหนื่อยล้า แต่ไม่สามารถนอนหลับได้ดี
- ปวดหลัง
- ท้องผูก
- อยากอาหารแปลกๆ
- อารมณ์แปรปรวน
- แสบร้อนกลางอก
- คัดจมูก หายใจลำบาก
- อุณหภูมิร่างกายตอนตื่นนอน (Basal Body Temperature (BBT)) พุ่งขึ้น
สัญญาณที่แสดงว่าอาจจะตั้งครรภ์
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น
- มดลูกนิ่ม (Hegar’s sign)
- ท้องอืด หรือท้องขยาย
- ปวดมดลูกอ่อนๆ หรือรู้สึกไม่สบายตัวที่มดลูก โดยที่ไม่พบเลือดออกหรือความผิดปกติ
- ผิวหนังที่ใบหน้า ท้อง หรือฐานหัวนมมีสีเข้มขึ้น
สัญญาณที่ตั้งครรภ์แน่นอน
- มีเสียงหัวใจเต้นของเด็กในท้อง
- เห็นภาพของตัวอ่อน (จากการสแกนอัลตราซาวด์)
- ผลการตรวจปัสสาวะเพื่อทดสอบการตั้งครรภ์ หรือการตรวจเลือดทดสอบครรภ์ให้ผลเป็นบวก
เมื่อตั้งครรภ์ อาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้น มักจะถูกเรียกว่าอาการแพ้ท้อง (Morning Sickness) เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของการทำงานในกระเพาะ อาการนี้เป็นอาการชั่วคราวและสามารถหายได้เอง โดยอาจจะมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน
ที่มาของข้อมูล
Clár McWeeney, The most common early pregnancy symptoms (https://helloclue.com/articles/life-stages/most-common-symptoms-early-pregnancy), 28 พฤศจิกายน 2017.