July 20, 2019 08:05
ตอบโดย
พิมพกา ชวนะเวสน์ (สูตินรีแพทย์)
ยาคุมปกติ ต้องเริ่มช่วงมีประจำเดือน หรือ ถ้า เริ่มช่วงอื่น ต้องคุมวิธีอื่นร่วมด้วย 7 วันค่ะ หลังจาก 7 วันถึงจะมีประสิทธิภาพ
กรณีของคุณ ถ้ามีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว ต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินค่ะ
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ยิ่งกินเร็วเท่าไหร่ หลังมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งดีค่ะ โดยตามหลักการ ให้กินยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ปัจจุบันยืดหยุ่นให้ถึง 100 ชั่วโมงแล้วค่ะ
อย่างไรก็ตาม ยาคุมฉุกเฉิน ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ดีไม่เท่า การคุมกำเนิดวิธีอื่นๆ เช่น การกินยาคุมปกติค่ะ (ยาคุมปกติ ถ้ากินถูกวิธี ประสิทธิภาพคุมกำเนิด มากกว่า 90 % แต่คุมฉุกเฉิน อาจจะแค่ประมาณ 80% - 85%
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ แนะนำใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นค่ะ ใช้ยาคุมฉุกเฉิน เมื่อจำเป็นเท่านั้น
ยาคุมฉุกเฉิน คือ ฮอร์โมนเพศหญิงขนาดสูงค่ะ สูงกว่าระดับธรรมชาติในร่างกาย หลังได้รับไปแล้วจะทำให้รอบเดือนแปรปรวนได้ค่ะ อาจจะบอกยากว่า เมนส์จะมาเมื่อไหร่
และด้วยความที่ฮอร์โมนสูง ก็ทำให้มีอาการข้างเคียงอื่นๆได้ เช่น คัดตึงเต้านม คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ
อย่างไรก็ตาม ถ้าถึงรอบเมนส์มาปกติ แล้วเมนส์ยังไม่มา ให้ลองตรวจปัสสาวะดูการตั้งครรภ์ดูค่ะ
วิธีทานยาคุมนะคะ
การรับประทาน ให้เริ่มรับประทาน ช่วงเมนส์มาวันที่ 2 ถึง 5
จากนั้นรับประทานวันละ 1 เม็ด
เพื่อระดับฮอร์โมนที่สม่ำเสมอ ควรรับประทานเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน
รับประทานจากเม็ดแรก ไป ตามลูกศร
ถ้าเป็นยาคุม 28 เม็ด หมดแผงแล้ว กินเม็ดแรกของแผงใหม่ต่อได้เลยค่ะ
ประจำเดือนควรจะมา ช่วงที่รับประทานยา 7 เม็ดสุดท้าย
ถ้าประจำเดือนไม่มา ต้องตรวจเช็คการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มแผงถัดไปค่ะ
ถ้าเป็นแบบ 21 เม็ด เว้น 7 วันก่อน แล้วค่อยเริ่มแผงถัดไปค่ะ ประจำเดือนควรจะมาในช่วงนี้ ถ้าประจำเดือนไม่มา ต้องตรวจเช็คการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มแผงถัดไปเช่นกันค่ะ
การเริ่มยาคุมอีกแบบ แบบRandom start
คือ
ถ้ามั่นใจว่า ไม่ตั้งครรภ์สามารถเริ่มยาคุมเลยวันใดก็ได้ แต่ต้องคุมกำเนิดวิธีอื่น เช่น ใช้ถุงยางอนามัย ร่วมด้วย ใน 7 วันแรก ที่เริ่มทานยาค่ะ หลังจากนั้น ยาคุมมีประสิทธิภาพแล้วค่ะ ป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 90% ถ้าไม่ลืมทานค่ะ
ประจำเดือนจะมาอีกครั้ง ช่วงเว้น 7 วัน ในยาคุมชนิด 21 เม็ด หรือ ช่วง 7 เม็ดสุดท้าย ในยาคุมชนิด 28 เม็ดค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันไปแล้วจะต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ครับ เนื่องจากยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนธรรมดาจะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ย้อนหลังได้
ในกรณีนี้หมอแนะนำให้หายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดก่อน โดยให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ก็จะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลงได้ 75-85% แต่ถ้าหากเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วก็ยังอนุโลมให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปครับ
ส่วนยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนนั้นหมอแนะนำให้เริ่มรับประทานเมื่อมั่นใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์แล้ว คิอ ให้รอให้ประจำเดือนมาก่อนและให้เริ่มรับประทานยาภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้ยาคุมออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีตั้งแต่วันแรกที่รับประทานยาคุม
ส่วนในระหว่างนี้หมอก็แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันการตั้งครรภ์ไปก่อนครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
รบกวนสอบถามค่ะ, ว่ามีประจำเดือนวันที่ 10ก.ค.แล้วหยุดประมาณวันที่ 15ก.ค., และวันที่ 19ก.ค.ช่วงดึก มีเพศสัมพันธ์และมีการหลั่งในกับสามี, เนื่องจากปกติไม่เคยทานยาคุมมาก่อนหน้านี้เลย จะสอบถามว่าหากเช้าวันถัดไป หรือวันที่ 20ก.ค. จะเริ่มทานยาคุมเม็ดแรก การคุมกำเนิดจะมีผลไหมคะ, หรือควรจะใช้ยาคุมฉุกเฉินดี, และหากทานยาคุมปกติยี่ห้อจัสมินสามารถมีเพศสัมพันธ์แบบหลี่งในได้ตามปกติเลยไหมคะ (นับจากวันจะที่เริ่มทานยา หรือ 20ก.ค) หรือต้องเว้นระยะเวลาออกไปก่อน. และหากในกรณีทานยาคุมฉุกเฉิน สามารถใช้ยาคุมปกติทานต่ออย่างไรคะ และดิฉันสามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีโดยหลั่งในได้เลยหรือไม่, ขอบคุณมากๆค่ะ.
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)