ทานยาคุมเป็นประจำทุกเดือน ทำไมประจำเดือนมาน้อยมากๆในแต่ละเดือนคะ มีผลเสียอะไรรึเปล่า

ในตามธรรมชาติของผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด ผลจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้เยื่อบุมดลูกมีการหนาตัวขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิและเกิดเป็นการตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ หากไม่เกิดการฝังตัว การสร้างและผลิตฮอร์โมนจากโพรงไข่จะหยุดลง เมื่อปริมาณฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดต่ำลงมาก เยื่อบุดังกล่าวก็จะมีการหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ดังนั้น หากมีการหนาตัวมาก เวลาหลุดลอกก็จะมีประจำเดือนปริมาณมาก แต่สำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม จะได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินจากยาในระดับที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจึงไม่มีการเลี้ยงไข่ให้สุกหรือมีไข่ตกจากรังไข่ (นี่คือกลไกหลักในการป้องกันการตั้งครรภ์ เพราะถ้าไม่มีไข่ตก ต่อให้มีเพศสัมพันธ์หลั่งในและอสุจิสามารถเข้าไปในช่องคลอดได้ แต่เมื่อไม่มีไข่ให้ผสมก็จะไม่เกิดการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ตามมา) และเนื่องจากปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ได้รับมีปริมาณเล็กน้อย (โดยเฉพาะถ้าใช้ยาคุมสูตรที่มีฮอร์โมนต่ำมาก) เยื่อบุมดลูกจึงมีการหนาตัวไม่มากนัก แล้วเมื่อถึงช่วงปลอดฮอร์โมน (ก็คือช่วงวันเว้นว่างกรณีที่ใช้ยาคุมชนิด 21 - 22 เม็ด หรือช่วงที่รับประทานเม็ดแป้งของยาคุมฮอร์โมนรวมชนิด 28 เม็ด) เมื่อระดับฮอร์โมนโปรเจสตินลดต่ำลงและทำให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน จึงมีปริมาณประจำเดือนไม่มากนักนั่นเองค่ะ ดังนั้น การที่มีประจำเดือนมากหรือไม่มาก ขึ้นอยู่กับว่าเยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้นมากหรือน้อย ไม่ได้เป็นการ "อั้นเลือดเสียไว้ในตัว" อย่างที่มีความเข้าใจผิดกัน การที่มีประจำเดือนน้อยไม่ได้ส่งผลเสียอะไรค่ะ และถ้าอยากให้มีประจำเดือนมากขึ้นก็สามารถเปลี่ยนยาคุมให้เป็นสูตรที่มีเอสโตรเจนมากขึ้นได้ แต่ก็จะเกิดผลข้างเคียงจากฮอร์โมนดังกล่าวมากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดคัดตึงเต้านม เป็นฝ้า บวมน้ำ รวมไปถึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (ยาคุมสมัยใหม่จึงพยายามลดปริมาณฮอร์โมนลงให้ต่ำเท่าที่จะทำได้เพื่อลดผลข้างเคียงและความเสี่ยงดังกล่าว) สรุปก็คือ ประจำเดือนมาน้อยเป็นผลจากฮอร์โมนในยาคุมมีปริมาณน้อย แต่ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายค่ะ