สวัสดีค่ะ พอดีเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกแบบไม่ได้ตั้งใจ แฟนพลาดสอดใส่เข้าไป แต่เข้าไม่ลึกมาก และไม่มีเลือดออก เพราะเจ็บเลยให้เอาออก แต่ไม่ได้สอดใส่เข้าไปนาน ไม่ถึง 1 นาที สักพักก็เอาออกมาเสร็จภายนอกค่ะ เรากังวลมาก และมีสติเลยให้แฟนไปซื้อยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด มาให้รับประทานทันที หลังเกิดเหตุการณ์ ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก็เห็นว่ามีโอกาสท้องได้ถึงแม้ไม่หลั่งใน เราเลยกังวลใจ และกลัวท้อง เราเป็นประจำเดือนวันที่ 19 ธ.ค. ประจำเดือนหมด 24 ธ.ค. เกิดเหตุการณ์ 28 ธ.ค. ไม่ทราบว่าระยะเวลาอันตรายและเสี่ยงมากไหมคะ ตอนนี้กำลังรอเวลาประจำเดือนมา และอยากสอบถามว่าถ้าประจำเดือนมาแล้ว เรายังต้องทานยาคุมต่อไหมคะ ถ้าเราจะไม่มีเพศสัมพันธ์ต่อจากนี้ รบกวนตอบด้วยนะคะ กังลวลมากค่ถ

ไข่อาจตกช้าหรือเร็วกว่าที่คาดไว้ได้ค่ะ ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ซึ่งมีความเสี่ยงที่ไข่กับอสุจิจะผสมกันได้ ก็เสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้อยู่แล้วนะคะ

การมีเพศสัมพันธ์ที่มีการสอดใส่โดยไม่ใช้ถุงยาง หากไม่มีการหลั่งภายในช่องคลอด ก็จะถือว่ามีโอกาสผิดพลาดและตั้งครรภ์ได้ 22% ตามวิธีหลั่งนอกค่ะ ซึ่งถ้ารับประทานยาคุมฉุกเฉินเร็วและครบขนาด ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงลงมาเป็น 15% แทนได้

ในกรณีนี้ ผู้ถามใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดที่มีแผงละ 1 เม็ด ซึ่งรับประทานเม็ดเดียวครั้งเดียว จึงถือว่าใช้ครบขนาดแล้วนะคะ

แนะนำให้รอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการตั้งครรภ์ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติ หรือคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยค่ะ (ส่วนเลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน อาจพบภายใน 7 วันหลังรับประทาน แต่ไม่ได้สำคัญค่ะ และอาจพบหรือไม่พบเลยก็ได้ แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่าจะตั้งครรภ์หรือเปล่า)

และถ้าไม่มีประจำเดือนมาตามรอบปกติ ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

แต่ถ้ามีประจำเดือนมาตามรอบปกติ ก็หมายถึงไม่มีการตั้งครรภ์นะคะ และถ้าไม่ต้องการผลคุมกำเนิดต่อเนื่อง ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานยาคุมรายเดือนค่ะ

สวัสดีครับ
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันนั้นถ้าได้มีการสอดใส่ไปแต่ไม่ได้มีการหลั่งก็จะมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4-27% ครับเนื่องจากในขณะที่มีการสอดใส่นั้นอาจมีอสุจิที่ปนอยู่ในน้ำหล่อลื่นของผู้ชายหลุดลอดเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ แต่ถ้าหากได้รับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้วความเสี่ยงดังกล่าวก็จะลดลงมา 75-85% ครับ

ในตอนนี้หมอแนะนำให้ใจเย็นๆและรอสังเกตประจำเดือนต่อไปก่อน โดยถ้าหากเดิมเป็นคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปประจำเดือนก็มักจะยังมาในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับปกติอยู่ครับ

ถ้าหากเลยเวลาที่ประจำเดือนควรจะมาไป 1-2 สัปดาห์แล้วประจำเดือนยังไม่มา หมอก็แนะนำให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดูครับ โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

และถ้าหากหลังจากนี้คิดว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์อีกอย่างแน่นอน ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาคุมกำเนิดหลังจากประจำเดือนมาครับ

ผู้ถามใช้ "ยาคุมฉุกเฉิน" อย่างเดียวก็พอแล้วนะคะ เพราะ "ยาคุมรายเดือน" ไม่มีผลคุมกำเนิดฉุกเฉินได้ หากจะรับประทานเพิ่มในตอนนี้จึงไม่มีประโยชน์ และยิ่งทำให้ประจำเดือนเลื่อนช้าออกไปมากขึ้นค่ะ

เมื่อประจำเดือนมาแล้ว (ประจำเดือนจริง ๆ นะคะ ไม่ใช่เลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน) ก็หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์ค่ะ และถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์อีกเลย ก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้นะคะ

การใช้ "ยาคุมรายเดือน" จะต้องรับประทานให้ถูกต้องและเกิดผลคุมกำเนิดจากยาก่อน จึงจะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางได้ โดยยาจะไปยับยั้งการตกไข่ และเมื่อไม่มีไข่ตก อสุจิก็ผสมกับไข่ไม่ได้จึงไม่เกิดการตั้งครรภ์ นั่นคือ หวังผลคุมกำเนิดต่อไปข้างหน้าหลังรับประทานค่ะ

ดังนั้น เมื่อประจำเดือนมาแล้ว หากคาดว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์อีก ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ "ยาคุมรายเดือน" ค่ะ

ถ้าหากจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนครับ เนื่องจากการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบรายเดือนจะมีผลป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากที่รับประทานยาไปแล้วเท่านั้น ไม่ได้มีผลป้องกันการตั้งครรภ์ย้อนหลัง นั่นหมายความว่าการรับประทานยาคุมแบบรายเดือนในอนาคตจะไม่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนี้ครับ

ยกเว้นแต่ว่าถ้าคาดว่าหลังจากนี้จะต้องมีเพศสัมพันธ์อีก การรับประทานยาคุมกำเนิดรายเดือนก็จะมีประโยชน์ครับ

1. เลือดที่ออกมาในวันนี้ มากจนต้องใช้ผ้าอนามัยกี่แผ่นคะ
2. ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้ถามมีประจำเดือนมาทุก ๆ กี่วันคะ (นับระยะห่างจากวันแรกที่มีประจำเดือนของแต่ละครั้ง)

ที่ต้องสอบถามเป็น "จำนวนแผ่น" ของการใช้ผ้าอนามัย เพราะเป็นตัววัดที่เห็นได้ชัดเจนกว่าคำว่า "ไม่มากเกินไป" หรือ "ปริมาณคล้ายประจำเดือน" ค่ะ แต่เนื่องจากไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด จึงแนะนำเช่นนี้นะคะ

จากที่ผู้ถามให้ข้อมูลมาว่าประจำเดือนครั้งล่าสุดมา 19 - 24 ธันวาคม และโดยปกติจะมีรอบประจำเดือน 28 - 32 วัน ดังนั้น เลือดที่ออกมา น่าจะเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินค่ะ ซึ่งโดยปกติจะเป็นเพียงหยดเลือดซึม หรือเลือดที่ออกกะปริบกะปรอย ไม่มากจนชุ่มผ้าอนามัยเหมือนกับประจำเดือน และเป็นอยู่เพียงไม่กี่วันก็จะหายไปเองค่ะ

แต่ถ้าผู้ถามมีเลือดออกมามากตามที่กล่าวว่าเหมือนกับประจำเดือนปกติ แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อพิจารณาการตรวจเพิ่มเติมนะคะ ว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ เพราะต่อให้เลือดนั้นจะเป็นประจำเดือนจริง ๆ ก็ยังถือว่ามาเร็วจนผิดปกติไปมากอยู่ดีค่ะ

สำหรับเลือดที่ออกมาภายใน 7 วันหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ถ้าไม่ได้มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย และเป็นเพียงหยดเลือดซึมหรือเลือดกะปริบกะปรอย ไม่ได้เปียกชุ่มผ้าอนามัย อีกทั้งมาเร็วกว่ารอบประจำเดือนปกติมากเช่นนี้ น่าจะเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินค่ะ

แต่ถ้ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตกขาวผิดปกติ, มีกลิ่นเหม็นคาวหรือกลิ่นรุนแรง, แสบหรือคันช่องคลอด หรือปวดท้องรุนแรง ไม่ใช่ผลข้างเคียงจากยานะคะ จึงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม

ในกรณีที่ไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่มีเลือดออกมามากหรือนานผิดปกติ แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นประจำเดือน ก็ควรไปตรวจดูให้แน่ใจเช่นกันค่ะ ว่าเป็นเลือดที่เกิดจากการหลุดลอกที่ผิดปกติของเยื่อบุมดลูกหรือจากสาเหตุอื่นใดหรือไม่ จะได้แก้ไขอย่างเหมาะสมนั่นเองนะคะ
..
..
..
แต่ถ้าเป็นเพียงเลือดกะปริบกะปรอยซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยา และหายไปเองในเวลาไม่กี่วัน ก็ไม่มีปัญหาค่ะ ให้รอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่นะคะ

เมื่อมีประจำเดือนมาแล้ว ก็หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทำให้ตั้งครรภ์แล้วค่ะ

ถ้าไม่ต้องการคุมกำเนิด เช่น คาดว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์อีกแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องรับประทานยาคุมรายเดือนนะคะ

แต่ถ้าคิดว่าน่าจะมีเพศสัมพันธ์อีกเรื่อย ๆ และยังไม่พร้อมจะมีบุตร แนะนำให้เริ่มรับประทานยาคุมรายเดือนแผงแรก ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ซึ่งจะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้เลยหลังรับประทานค่ะ (ถ้าใช้ไม่ทันช่วงเวลานี้ จะต้องรับประทานยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนจึงจะเริ่มคุมกำเนิดได้)