August 26, 2019 16:45
ตอบโดย
กอบศักดิ์ ชัยชะแตง (นพ.)
การรักษาเริมที่อวัยวะเพศนั้น หากเป็นครั้งแรก จะรักษาด้วยยาAcyclovir ขนาด400 มก วันละ3ครัเง นาน7วัน แต่หาก เป็นซ้ำ จะรักษานาน5วัน ร่วมกับ งดมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันขณะเป็นโรคครับ
หากมีอาการปวด เจ็บแผล อาจรับประทานยาแก้ปวดแก้อักเสบ เช่น Ibuprofen ขนาด 400มก. วันละ3ครั้ง และ paracetamol เพื่อลดอาการปวดครับ
หากอาการปวดไม่ดีขึ้น ภายหลังทานยาAcyclovir 3วันขึ้นไปแล้ว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมได้ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ หากมีความเสี่ยงเช่ง ซิฟิลิส แผลริมอ่อน หนองใน เป็นต้นครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
พิมพกา ชวนะเวสน์ (สูตินรีแพทย์)
ยามาตรฐานของการรักษาเริม ทั้งที่บริเวณริมฝีปาก และ อวัยวะสืบพันธ์ุ จะเป็นยารับประทานนะคะ (acyclovir) แต่อย่างไรก็ตาม เริม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่ะ
เริมเกิดจากเชื้อไวรัส หลังติดเชื้อครั้งแรก อาการจะรุนแรง เป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใสๆ เจ็บมาก แสบร้อน ถ้าเป็นด้านล่าง อาจมีปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย มีไข้ได้ อาการหลังติดเชื้อครั้งแรก จะมีอาการมากค่ะ จำเป็นต้องได้รับยา เพื่อบรรเทาอาการ
หลังจากหาย เชื้อไวรัสจะไปแอบอยู่ตามปลายประสาท เมื่อร่างกายอ่อนแอ เช่น เจ็บป่วย นอนดึก เชื้อไวรัสก็จะออกมา ทำให้เกิดอาการอีกได้ค่ะ
โดยอาการที่เกิดเป็นซ้ำ จากเชื้อไวรัสที่ออกมาจากปลายประสาท จะรุนแรงน้อยกว่า ตุ่มไม่เยอะมาก ไม่มีไข้ มักจะหายได้เอง การรับประทานยา ก็อาจจะช่วยลดระยะเวลาที่มีอาการเท่านั้น
เริม จึงเป็นโรคที่รักษาหายขาดได้ยากค่ะ ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วย นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ กินอาหารที่สุก สะอาด ครบ 5 หมู่ เมื่อร่างกายแข็งแรง แม้จะมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย แต่ก็ไม่แสดงอาการ ไม่ทำให้เราเจ็บป่วยค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
ในกรณีที่มีเริมกลับมาเป็นซ้ำระหว่างที่รับประทานยา Acyclovir อยู่ก็อาจมีความจำเป็นต้องปรับขนาดยาให้เพิ่มมากขึ้นชั่วคราวก่อนครับ และในกรณีที่มีอาการปวดจากเริมรุนแรงก็อาจใช้ยา Gabapentin ซึ่งเป็นยาสำหรับแก้อาการปวดปลายประสาทเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้ครับ
..
หมอแนะนำว่าในเบื้องต้นนั้นควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการดูอีกครั้งก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ตอบโดย
Shintai Thavonlun (นพ.)
เริมสามารถเป็นซ้ำ โดยอาการมักจะน้อยกว่าครั้งแรก เช่น ตุ่มน้ำเล็กและจำนวนน้อยกว่า
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เริม เป็นซ้ำได้ เช่น
- ความเครียด/อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ
- การเจ็บป่วยจากโรคอื่น มีไข้
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในเพศหญิงตอนมีประจำเดือน
- แสงแดดจัดๆ
- รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน หรือเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เป็นต้นครับ
เบื้องต้นแนะนำหลีกเลี่ยงปัจจัยข้างต้น
เบื้องต้น แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่กล่าวมาครับ
และคนใกล้ชิด ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล สารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย ของผู้ป่วย, ควรงดการทีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหายสนิทครับ
และแนะนำให้ไปพบแพทย์อีกครั้ง เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด และเพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆด้วยครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
สวัสดีค่ะดิฉันเป็นเริมที่อวัยวะเพศตอนนี้ทานยาอะไซโคเวีย เช้า 400 mg เย็น 400 mg แต่ระหว่างทานก็มีอาการเริมจะขึ้นที่อวัยวะเพศรู้สึกเจ็บปวดมากต้องทำยังไงดีคะดิฉันทานยาไซโคเวียมาจะครึ่งปีแล้วตรวจเลือดแล้วตรวจทุกอย่างแล้วปกติค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)