เมื่อผู้ป่วยที่คุณรักกําลังจะจากไป เขาจะมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายหลายอย่างที่สังเกตได้
ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการท่ีน่าตกใจและไม่ใช่อาการที่ต้องรักษา ไม่ต้องตกใจหรือรู้สึกผิดว่าจะต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลหากนั่นไม่ใช่ส่ิงที่ผู้ป่วยต้องการในระยะสุดท้ายของเขา อาการเหล่านี้แพทย์จะไม่ได้รักษาเพิ่มเติมเพราะไม่ใช่อาการที่จะรักษาได้แต่เป็นอาการจากไปตามธรรมชาติ ซึ่งได้แก่อาการ ต่อไปน้ี
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อ่อนแรงและนอนหลับมากขึ้น
ดูอ่อนเพลียแบบค่อยเป็นค่อยไปในระยะเวลาเป็นวัน แต่บางคนก็อาจเกิดเร็วเป็นชั่วโมง ผู้ป่วยส่วนใหญ่นอนหลับอยู่บนเตียงตลอดวันและอาจจะตื่นในช่วงเวลากลางคืน บางรายอาจจะหลับลึกจนดูเหมือนปลุกไม่ตื่น อาการดังกล่าวไม่ใช่อาการท่ีน่ากลัวและไม่ทําให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ร่างกายอาจมีการขยับแบบอัตโนมัติได้โดยท่ีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว เช่น การกํามือหรือกัดฟันกรอดๆ ร่วมด้วยได้
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- หาเตียงที่นอนสบายให้กับผู้ป่วยยกหัวสูงเล็กน้อย อาจมีหมอนข้างมาช่วยเสริมด้านข้าง
- พลิกตัวผู้ป่วยทุก 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ควรพลิกตัวบ่อยกว่าน้ีเพราะอาจจะทําให้ผู้ป่วยรําคาญ
- ควรใส่สายสวนปัสสาวะหรือแพมเพิร์ส เพื่อสะดวกในการดูแลและผู้ป่วยไม่ต้องลุกจากเตียง (สายสวนปัสสาวะไม่ทําให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมากข้ึนและสะดวกกว่าแพมเพิร์ส)
- กอดและสัมผัสผู้ป่วยเป็นระยะๆ ได้
- อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ได้
- ไม่ต้องกลัวว่าการสนทนากันตามปกติจะรบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย สามารถสนทนากันได้ด้วยเสียงปกติท่ีไม่ดังเกินไปและไม่ต้องปรับเสียงให้เบาลงเหมือนเสียงกระซิบ
- สามารถพูดและสื่อข้อความดีๆ ที่อยากบอกกับผู้ป่วยได้ตลอดเวลา เพราะแม้ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียมากจนไม่สามารถพูดได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังสามารถได้ยินและเข้าใจสิ่งที่ญาติพูดได้ เนื่องจากหูและการได้ยินจะเป็นอวัยวะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะสูญเสียการทํางานไป
การกินอาหารและการดื่มน้ําจะลดลง
ในช่วงเวลาน้ีอาหารและน้ําไม่ได้ช่วยทําให้อาการของผู้ป่วยดีข้ึน และไม่ได้ช่วยยืดเวลาให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานข้ึน เนื่องจากร่างกายทํางานได้ช้าลงมาก ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- หากผู้ป่วยขอดื่มน้ํา ให้ยกศีรษะผู้ป่วยขึ้นและป้อนน้ําทีละเล็กน้อยด้วยหลอดหยดหรืออมน้ําแข็งก้อนเล็กๆ
- หากผู้ป่วยไอ ให้หยุดการป้อนน้ําทันที
- การให้น้ําเกลือในช่วงเวลาน้ี ไม่ได้ช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีข้ึน และอาจทําให้ผู้ป่วยยืดความทุกข์ทรมานออกไปอีก เนื่องจากน้ําเกลือ ประกอบด้วย น้ํา เกลือ และน้ําตาล จึงไม่มีสารอาหารเพียงพอที่จะทดแทนอาหารได้ เพียงแต่หล่อเลี้ยงความทรมานระดับเดิมไว้ โดยทั่วไปอาจพิจารณาให้น้ําเกลือหากจําเป็นต้องให้ยาทางเส้นเลือดเท่านั้น
- การให้อาหารในช่วงเวลานี้อาจเป็นเหตุให้สําลักเข้าไปในระบบทางเดินหายใจและติดเชื้อในปอดได้ ซึ่งจะทําใหผู้ป่วยทุกข์ทรมานเพิ่มข้ึนหรือเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร การได้รับอาหารที่น้อยลงในระยะน้ีไม่ได้เป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยอดอาหารจนถึงแก่ความตาย ผู้ป่วยถึงแก่ความตายเพราะโรคของผู้ป่วยเอง การให้ท่ออาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะทางท่อทางเดินอาหารหรือท่ออาหารทางเส้นเลือดจึงควรพิจารณาอย่างมากเพราะมักจะทําให้ผู้ป่วยเจ็บ รําคาญ และอาจเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตายก่อนเวลาดังกล่าว
การดูแลช่องปากของผู้ป่วย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายใจทางปากและมักจะดื่มน้ําได้เพียงเล็กน้อย ทําให้ปากและล้ินของผู้ป่วยแห้งมาก ซึ่งทําให้ทุกข์ทรมานได้
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ผสมน้ําประมาณ 1 ลิตรกับเกลือ 1⁄2 ช้อนและผงฟู 1 ช้อนแล้วใช้ผ้าก๊อซชุบน้ําดังกล่าวเช็ดปาก เหงือก และลิ้นของผู้ป่วย ไม่ต้องตกใจหากผู้ป่วยกัดผ้าก๊อซขณะท่ีเช็ดในปาก ให้เช็ดต่อไปจนการกัดผ้าก๊อซคลายลง
- เปลี่ยนส่วนผสมน้ําเกลือและผงฟูใหม่ทุกวัน
- เช็ดปาก เหงือก และลิ้นของผู้ป่วยได้ทุกชั่โมงเพื่อให้ชุ่มชื้น
การดูแลตาของผู้ป่วย
เนื่องจากผู้ป่วยปิดตาไม่สนิททําให้เกิดอาการตาแห้งแสบได้
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- อาจใช้น้ําตาเทียมหยอดตาให้ผู้ป่วยวันละ 4 ครั้ง หากตาผู้ป่วยเผยอเปิดตลอดเวลา
อาการปวด
โดยท่ัวไปอาการปวดของผู้ป่วยมักจะไม่เพิ่มขึ้นในช่วงสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยขยับตัวน้อยลงและนอนหลับมากขึ้น ในบางครั้งที่ญาติช่วยขยับตัวผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงเหมือนผู้ป่วยร้องคราง เสียงดังกล่าวมาจากการขยับตัวร่วมกับการหายใจออก ไม่ใช่มาจากอาการปวด
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- สังเกตอาการปวดโดยดูจากการหน้านิ่วขมวดคิ้วแทนเสียงร้องคราง อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวดเพิ่มหากมีอาการดังกล่าวบ่อยครั้ง
- โดยทั่วไปควรลดปริมาณยาแก้ปวดลงและอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีการให้ยา เช่น จากยากินมาเป็นยาฉีดหรือยาที่สามารถดูดซึมใต้ล้ินได้เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วย
ภาวะกระสับกระส่าย
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีภายในร่างกาย เนื่องจากอวัยวะต่างๆ เริ่มวาย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- อาจพิจารณาให้แพทย์สั่งยานอนหลับอย่างอ่อนให้เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนบ้าง ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ได้ทําให้หลับลึกจนตาย อย่างไรก็ตาม ให้พิจารณาตามสภาพอาการ หากกระสับกระส่ายประสาทหลอนมาก อาจช่วยให้ผู้ป่วยได้พักหลับมากข้ึน แต่หากอาการไม่มาก อาจไม่จําเป็นต้องรักษาอาการนี้ เพราะผู้ป่วยหลายรายอยากมีสติก่อนตาย ไม่อยากง่วงงุนงง อยากรู้สึกตัวว่าได้ร่ำลาญาติๆ ก่อนจากไป บางรายอยากมีจิตอันเป็นกุศลหรือท่องบทสวดมนต์ก่อนลมหายใจสุดท้าย เพื่อให้เป็นการตายดีตามความเช่ือของตน
หายใจไม่เป็นจังหวะ
อาจหายใจช้าบ้าง เร็วบ้าง ลึกบ้าง ตื้นบ้าง และอาจหยุด หายใจเป็นช่วงๆ ซึ่งช่วงที่หยุดหายใจนี้จะค่อยๆ ยาวข้ึนเมื่อผู้ป่วยใกล้จะเสียชีวิต ตัวผู้ป่วยเองจะไม่รู้สึกทรมานกับอาการนี้เพราะเกิดจากภาวะกรดและด่างเปลี่ยนแปลงไปหลังจากอวัยวะต่างๆ หยุดทํางาน
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- ผู้ป่วยในภาวะนี้ไม่ได้ขาดออกซิเจน การให้ออกซิเจนจึงไม่จําเป็นและไม่ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะน้ี ตรงกันข้าม การให้ออกซิเจนกลับทําให้ผู้ป่วยรู้สึกแห้ง เจ็บ และอึดอัดไม่สบายตัว ดังจะสังเกตได้จากผู้ป่วยจะพยายามดึงหน้ากากหรือท่อออกซิเจนทิ้งอยู่ตลอดเวลาท้ังๆ ที่ไม่รู้สึกตัว
ภาวะเสียงดังครืดคราดจากน้ําลายสอ
เมื่อใกล้เวลาที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ญาติอาจได้ยินเสียงดังครืดคราดในลําคอคล้ายเสียงกรน ในขณะที่ผู้ป่วยซึมลงมากและไม่ค่อยตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว เสียงนี้เกิดจากกล้ามเน้ือในการกลืนไม่ทํางาน ล้ินตก แต่ต่อมน้ําลายน้ําเมือกต่างๆ ยังทํางานอยู่ ภาวะดังกล่าวไม่ทําให้ทางเดินหายใจอุดตันจนถึงแก่ความตาย
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงโดยมีหมอนยาวรองหลังจะช่วยลดเสียงดังครืดคราดลงได้
- แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาเพื่อช่วยลดอาการน้ําลายสอหากมีอาการน่ารําคาญอย่างมาก
- ไม่ควรดูดเสมหะด้วยเครื่องดูด เนื่องจากไม่ได้แก้ไขสาเหตุและทําให้ผู้ป่วยเจ็บและอาเจียนจากท่อที่ล้วงลงไปดูดเสมหะในลําคอ
มือเท้าเย็น ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง
เมื่อเวลาของผู้ป่วยใกล้หมดลง ญาติอาจสังเกตได้จากมือเท้าเย็น เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ผิวเป็นจ้ำๆ ตาเบิกกว้างแต่ไม่กะพริบ ปัสสาวะน้อยลงมาก ผู้ป่วยบางรายอาจตื่นข้ึนมาในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนอาการดีขึ้น ซึ่งเป็นเพราะผู้ป่วยพยายามรวบรวมพลังงานสํารองที่มีทั้งหมดมาใช้ในการร่ำลาญาติครั้งสุดท้ายก่อนจากไป
วิธีการดูแลผู้ป่วย มีดังนี้
- ควรหยุดวัดความดันโลหิตหรือสายวัดต่างๆ รอบตัว แกะเครื่องพันธนาการผูกมัดผู้ป่วยต่างๆ ให้ได้มากท่ีสุด เนื่องจากค่าท่ีวัดได้ไม่สามารถเชื่อถือได้และเป็นการรบกวนผู้ป่วยมากขึ้น
- ตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายอยู่ข้างเตียงกับผู้ป่วยมากที่สุด ก่อนที่จะดําเนินพิธีทางศาสนาต่อไป
แนวทางข้างต้นเป็นคําแนะนําอย่างง่ายสําหรับญาติและผู้ดูแลเพื่อจะได้รับมือกับอาการที่พบบ่อยในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้อย่างมีสติและให้ญาติได้ใช้เวลาอยู่กับผู้ป่วยอย่างมีคุณค่าก่อนจากกัน
ที่มา: ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก หมอเป้ พญ.ดาริน จตุรภัทรพร
ผู้แต่งหนังสือ สุข รัก เข้าใจ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต | Facebook Page: รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด | @Lynlanara