พอดีเมื่อวันที่12ที่ผ่านมาได้ทานยาคุมฉุกเฉินไปค่ะ+เดือนนี้ได้ไปซื้อยาบำรุงโลหิต(ราก30)มากินด้วยเดือนแรก ปกติประจำเดือนจะมาในวันที่26พย แต่ตอนนี้ขาดไป4วันปล้วค่ะ วันที่28ไปซื้อยาสตรีมาทานหลังจากทานมีเลือดออกมาแค่นิดเดือนค่ะและไม่มีเลือดออกอีกเลยพอวันที่29ก้อมีออกแค่ตอนเที่ยงอีกแค่นิดเดียวค่ะ..ตอนนี้เหมือนเลือดประจำเดือนไหลตลอดเวลาแต่ว่าไม่มีเลือดไหลออกมา ซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจผลออกมาเป็นลบ อย่างงี้จะมีโอกาศตั้งครรภ์ไหมคะ กะงวลมากเลยค่ะ

หากหลังมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงได้รวยการตั้งครรภ์แล้ว นานกว่า14วัน ผลเป็นลบคือไม่ตั้งครรภ์ครับ ควรตรวจยืนยันผลอีกครั้งใน1อาทิตย์ครับ

สวัสดีครับ
โดยปกนิแล้วหลังการรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะไม่ทำให้ประจำเดือนขาดหายไปเกิน 4-5 วันครับ ม่วนการรับประทานยาสตรีและการรับยาราก 30 ก็จะไม่มีผลช่วยให้ประจำเดือนมาจึงไม่ได้เป็นยาที่ควรรับประทานสำหรับในกรณีนี้ครับ

ในกรณีนี้หมอแนะนำให้ประเมินวิธีตรวจการตั้งครรภ์ที่ผ่านมาก่อน ถ้าหากได้ตรวจเมื่อห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจแล้วก็มั่นใจได้ 97-99% ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ แต่ถ้าหากยังตรวจได้ไม่ถูกต้อง หมอก็แนะนำให้ตรวจในเวลาที่หมอแนะนำไปอีกครั้งครับ

ถ้าหากต้องการตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ก็แนะนำให้ตรวจเมื่อห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 10 วันครับ

- หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ประมาณภายใน1สัปดาห์หลังกินยา ซึ่งมักไม่ใช่เลือดประจำเดือน (อาจจะมากระปริบกระปรอย หรือ ไม่มีก็ได้ครับ ไม่ได้บอกว่าท้องหรือไม่ท้องครับ)
ส่วนประจำเดือนจริงๆจะมาไกล้เคียงกับรอบประจำเดือนปกติ เเต่อาจมาเร็วหรือช้ากว่ารอบเดือนปกติได้ 1-3สัปดาห์
ดังนั้น หากเกิน3สัปดาห์ไปเเล้วจากวันที่ประจำเดือนควรจะมา ก็มีโอกาสหลุดท้องครับ
- เรื่องยาบำรุงโลหิต ไม่จำเป็นต้องกินครับ เพราะไม่ได้ช่วยเรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ อีกอย่างถ้ายาผสมพวกฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดได้ครับ ซึ่งจะทำให้งงเรื่องประจำเดือนไปอีกครับ
- ถ้าตรวจการตั้งครรภ์ เเนะนำให้ตรวจได้เร็วที่สุด หลังจากมีเพศสัมพันธ์ กันไปแล้ว 2 สัปดาห์
เพราะว่าถ้าจะท้องได้ ก็คือต้องไข่ตกช่วงที่มีเพศสัมพันธ์กันพอดี ถ้านอกเหนือไปจากนั้น โอกาสท้องก็น้อยครับ
หรือตรวจเมื่อประจำเดือนขาดครับ
- เรื่องโอกาสตั้งครรภ์ หากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินภายใน 12-24 ชม.แรกของการมีเพศสัมพันธ์ จะคุมกำเนิดได้ประมาณ 85% รับประทานภายใน 72 ชม. ประมาณ 75% ส่วนถ้าเกิน 72 ชม.แต่ยังไม่เกิน 120 ชม. จะประมาณ 60% ครับ
ยิ่งรับประทานช้า จะยิ่งมีโอกาสท้องครับ

ดังนั้นกรณีคนไข้ เลือดที่ออกมา อาจเป็นประจำเดือนตามรอบหรือเป็นผลจากยาบำรุง ซึ่งถ้าเป็นเลือดประจำเดือนก็เเปลว่าไม่ท้องเเล้วครับ
เเละเเนะนำให้เว้นสักสัปดาห์เเล้วตรวจการตั้งครรภ์ซ้ำ ถ้าไม่ท้อง หมอว่าก็น่าจะสบายใจได้เเล้วครับ เเละถ้ารอบถัดไปประจำเดือนมาก็คือมั่นใจได้ว่าไม่ท้องครับ

ส่วนการตรวจเลือด ถ้ากังวล ก็เเนะนำปรึกษาสูตินรีเเพทย์เรื่องตรวจเลือดค่าฮอร์โมน Hcg ได้ครับ เเต่ปกติปัจจุบันมักตรวจในคนที่สงสัยการตั้งครรภ์ผิดปกติ ต้องการติดตามค่าฮอร์โฒนนะครับ
เพราะ การตรวจปัสสาวะปัจจุบันก็เเม่นยำมากเช่นกันครับ

ถ้าหากวันที่ 12 พฤศจิกายนคือวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย การตรวจการตั้งครรภ์ในตอนเช้าของวันที่ 28 และ 29 พฤศจิกายนก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้แล้วเพราะเป็นการตรวจที่ห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันครับ แต่ถ้าหากยังมีความกังวลอยู่ก็อาจลองตรวจการตั้งครรภ์ซ้ำใหม่อีกครั้งใน 7 วันข้างหน้าได้ ถ้าหากตรวจแล้วไม่พบการตั้งครรภ์ผลตรวจก็มักไม่ผิดพลาดแล้วครับ

ส่วนอาการปวดศีรษะ ตัวร้อนนั้นไม่ได้เป็นอาการที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ครับ แต่อาการนี้อาจเกิดจากการเป็นไข้หวัด การติดเชื้อต่างๆในร่างกายได้ ซึ่งในเบื้องต้นหมอก็แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ทุก 4-6 ชั่วโมง และควรดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในช่วงนี้ และถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วันก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการและให้การรักษาเพิ่มเติมครับ

ถ้ามีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายในวันที่ 21 พฤศจิกายน หมอก็แนะนำให้ตรวจการตั้งครรภ์ใหม่อีกครั้งโดยใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าของวันที่ 5 ธันวาคมครับ

ในปัจจยังไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์วิธีใดที่จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ครับ และถึงแม้จะใช้ถุงยางอนามัยได้อย่างถูกต้องก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 2% ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ที่พลาดจนต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปก่อนหน้านี้ก็จะมีโอกาสจั้งครรภ์ได้ 15-25% ครับ

ดังนั้นในการตรวจการตั้งครรภ์จึงต้องตรวยเมื่อห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจเสทอไม่ว่าการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายจะมีการป้องกันหรือไม่ เพื่อให้ได้ผลตรวจที่เชื่อถือได้มากที่สุดครับ