Toxoplasmosis เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อปรสิต Toxoplasma gondii แม้ว่าแมวและสัตว์ในตระกูลแมวทั้งหลายจะเป็นสัตว์กลุ่มเดียวที่เชื้อชนิดนี้จะสืบพันธุ์ แต่ก็สามารถพบเชื้อเหล่านี้ในมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ทั้งในหนู นก หมู และแกะได้ โรคนี้มักไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง แต่ก็อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตบางอย่าง
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) คาดว่ามีผู้ติดเชื้อ T. gondii ประมาณ 60 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ากว่า 95% ของประชากรโลกต่างก็ติดเชื้อชนิดนี้เช่นกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
วัฏจักรชีวิตของเชื้อ Toxoplasma gondii
แมวมีบทบาทสำคัญในวัฏจักรชีวิตของ T. gondii และการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่มนุษย์ โดยแมวที่ติดเชื้อ T. gondii จากการกินนกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่มีเชื้อปรสิตดังกล่าว ทำให้เชื้อสืบพันธุ์ภายในลำไส้ของแมวและสร้างไข่ (oocyst) ผนังหนาและมีตัวอ่อนอยู่ข้างใน จากนั้นแมวจะปล่อย oocyst ของปรสิตมากับอุจจาระ โดยแมวส่วนใหญ่มักจะปล่อยเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการปล่อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
วารสาร Trends in Parasitology ปี 2013 รายงานว่ามีการวิจัยพบว่าประมาณ 1% ของประชากรแมวในโลกจะปล่อย oocyst ในเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยแมวตัวหนึ่งจะสามารถปล่อย oocyst ได้จำนวน 3-810 ล้านฟอง และสามารถคงอยู่ในสภาพแวดล้อมได้อีกหลายเดือน จนถึงเกิน 1 ปี หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม ภายในเวลา 5 วัน oocyst เหล่านี้จะเข้าสู่ขบวนการ sporulation ที่จะทำให้เชื้อติดต่อได้ สัตว์ชนิดอื่นๆ ก็จะติดเชื้อจากการกินดิน น้ำ หรือพืชผักที่ปนเปื้อน oocyst เหล่านี้ หลังจากที่กินได้ไม่นาน ตัวปรสิตก็จะพัฒนามาเป็น cyst ในเนื้อเยื่อ และคงอยู่ในโฮสต์ตัวกลางไปตลอดชีวิต
การติดเชื้อ Toxoplasmosis
คุณอาจติดเชื้อได้จากการช่องทางต่อไปนี้
- กินเนื้อไม่สุกหรือเนื้อดิบที่มีเชื้อปรสิต โดยเฉพาะพวกเนื้อกวาง เนื้อหมู หรือเนื้อแกะ
- ดื่มน้ำหรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ
- กินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโดยตรงหรือติดมากับมีด เครื่องครัวต่างๆ หรือเขียง
- บังเอิญกินเศษเนื้อเล็กๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือจากการไม่ล้างมือหลังสัมผัสเนื้อเหล่านี้
- กินผักผลไม้ที่สัมผัสดินหรือน้ำที่ปนเปื้อนและไม่ได้ล้าง ปอก หรือปรุงสุกเสียก่อน
คุณอาจเป็นโรคติดเชื้อ Toxoplasmosis ได้จากการกลืนเศษอุจจาระแมวที่มี oocyst ได้เช่นกัน เช่น การจับปากหลังทำความสะอาดหรือเปลี่ยนกล่องส้วมแมว หลังถืออุปกรณ์ที่สัมผัสกับอุจจาระของแมว หรือหลังทำสวนโดยไม่สวมถุงมือ แต่การติดเชื้อชนิดนี้พบได้ยากในกรณีที่มีการถ่ายเลือดหรือทำการปลูกถ่ายในอวัยวะ
โรคติดเชื้อ Toxoplasmosis ขณะตั้งครรภ์
หากคุณเป็นโรค Toxoplasmosis ระหว่างตั้งครรภ์ คุณอาจส่งเชื้อต่อไปให้ลูกในท้องได้ (Congenital toxoplasmosis) แม้ว่าคุณจะไม่แสดงอาการก็ตาม แต่หากคุณมีโรคดังกล่าวก่อนการตั้งครรภ์ ลูกของคุณก็จะไม่เสี่ยงเป็นโรค Toxoplasmosis เพราะมีภูมิคุ้มกันของคุณช่วยป้องกันการติดโรคไว้แล้ว
CDC แนะนำว่าควรรออย่างน้อย 6 เดือนหลังการติดเชื้อ ก่อนจะตั้งครรภ์ เพราะการติดเชื้อ Toxoplasmosis ระหว่างการตั้งครรภ์อาจทำให้แท้งเด็ก เด็กเสียชีวิตในท้อง หรือเด็กเกิดมามีอาการของโรค คือมีศีรษะขนาดไม่ปกติ และเมื่อโตขึ้นเด็กเหล่านี้ก็จะแสดงอาการของปัญหาทางระบบประสาทขึ้น เช่น เสียการมองเห็น มีความบกพร่องทางสติปัญญา และชัก
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการแสดงของโรค Toxoplasmosis
โรค Toxoplasmosis ส่งผลกระทบได้หลายอวัยวะ ได้แก่ สมอง ปอด หัวใจ ตา และตับ
คนสุขภาพแข็งแรงที่เป็นโรคหลายคนไม่แสดงอาการ แต่อาจเกิดอาการที่คล้ายหวัด ได้แก่
- ต่อมน้ำเหลืองโตและกดเจ็บบริเวณศีรษะและคอ
- ปวดหัว และมีไข้
- ปวดกล้ามเนื้อ
- เจ็บคอ
หลังผ่านไป 2-3 สัปดาห์หรือ 2-3 เดือน ระบบภูมิคุ้มกันของคุณก็จะมาสู้กับโรค แต่เชื้อปรสิตก็จะอยู่ภายในร่างกายไปตลอดในสภาพที่ไม่ทำงาน จนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายจะบกพร่องและเชื้อถูกกระตุ้นให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง
หากคุณมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ติดเชื้อ HIV หรือเป็นมะเร็ง คุณอาจมีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น
- มึนงง
- มีไข้ ปวดหัว
- สายตาพร่ามัว
- ชัก
- คลื่นไส้
- การประสานงานของร่างกายไม่ดี
ภาวะแทรกซ้อนของโรค Toxoplasmosis
การติดเชื้อชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดอาการทางตา โดยเฉพาะเด็กที่เกิดมาพร้อมการติดเชื้อชนิดนี้ โรคนี้สามารถทำให้เกิดแผลเรตินาอักเสบและเป็นรอย ทำให้เจ็บตา ทนแสงไม่ได้ เกิดการฉีกของเรตินา และสายตาพร่ามัว
งานวิจัยบางชิ้นเสนอว่า T. gondii สามารถส่งผลกระทบต่อบุคคลิกภาพและพฤติกรรมโดยทำให้เกิดบุคลิกภาพแบบหวั่นไหว (Neuroticism) โรคจิตเภท (Schizophrenia) โรคซึมเศร้า (Depression) และมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย แต่รายงานในวารสาร PLoS One ปี 2016 ไม่เห็นด้วยกับความเชื่อมโยงนี้
การรักษา Toxoplasmosis
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาการติดเชื้อนี้ แต่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาต้านมาลาเรียเพื่อลดอาการของโรคได้ ยาที่นิยมใช้ได้แก่ Pyrimethamine และ Sulfadiazine ร่วมกับ Folinic acid (leucovorin)
ในกรณีจำเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจรักษาด้วยยาเหล่านี้จนกว่าอาการจะดีขึ้น แม้บางคนอาจต้องรักษาทั้งชีวิต นอกจานี้ ยาชุดอื่นๆ ก็สามารถใช้รักษาได้ เช่น Pyrimethamine กับ Clindamycin สำหรับหญิงตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกหรือไตรมาสสอง ในช่วงต้นจะรักษาด้วยยา Spiramycin และจะรักษาด้วย Pyrimethamine และ Sulfadiazine ร่วมกับ Leucovorin จากนั้นในช่วงหลังของไตรมาสสองหรือไตรมาสสาม ทารกแรกคลอดมักรักษาด้วยยา Pyrimethamine และ Sulfadiazine ร่วมกับ Leucovorin ในช่วงขวบปีแรก
เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดเดียวกันในช่วงๆเวลาใกล้กันได้หรือไม่คะ