โรคหัด (Measles) เป็นโรคที่พบได้ทั้งในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เด็ก และผู้ใหญ่อายุ 20- 40 ปี ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่มาก เช่น โรงเรียน ค่ายทหาร เรือนจำ มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มพารามิคโซไวรัส (Paramyxovirus)
โรคหัดสามารถติดต่อกันผ่านการหายใจ การสัมผัสน้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง นอกจากการสัมผัสโดยตรง เช่น จากการไอ จาม แล้ว เชื้อไวรัสนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศ หรือพื้นผิวสัมผัสต่างๆ ได้นานถึง 2 ชั่วโมง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สำหรับเด็กเล็ก หากเป็นโรคหัดจะมีโอกาสเสียชีวิตได้มากเพราะมีภูมิต้านทานต่ำ สอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกที่จัดให้โรคหัดเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กเสียชีวิตมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนโรคหัดมากกว่า 95% จะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ ช่วยลดการติดเชื้อและอัตราการตายได้ แม้จะได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว
อาการของโรคหัด
- ระยะติดเชื้อและฟักตัว เชื้อไวรัสจะใช้เวลาในการฟักตัว 10- 14 วัน ระยะนี้ยังไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
- ระยะก่อนออกผื่น มีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ น้ำมูกไหล ไอแห้ง ตาแดง อ่อนเพลีย เจ็บคอ เริ่มมีตุ่มภายในกระพุ้งแก้มบริเวณใกล้ฟันกรามเรียกว่า "ตุ่มค็อปลิก (Koplik spot)" ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคหัด ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงนี้ (4 วันก่อนผื่นขึ้น)
- ระยะออกผื่น มีผื่นสีแดงขนาดเล็ก ไม่นูน ขึ้นตามร่างกาย หากขึ้นติดๆ กันจะดูเป็นปื้นใหญ่ ผื่นสีแดงจะเริ่มขึ้นจากบริเวณหลังใบหู ตีนผม ลำคอ แขน ลำตัว ในระยะนี้ยังคงมีไข้สูงอย่างต่อเนื่อง
- เมื่อผื่นสีแดงลงมาถึงเท้า ไข้ก็จะหายไป ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงนี้ (4 วันหลังผื่นขึ้น)
- ระยะต่อเนื่อง ผื่นเริ่มเปลี่ยนสีจากแดงเป็นน้ำตาล และค่อยๆ ลอกออก ตามลำดับ
ความน่ากลัวของโรคหัดคือ ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่ หูติดเชื้อ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ลำไส้อักเสบ สมองอักเสบ ดังนั้นหากติดเชื้อโรคหัดต้องรีบรักษาให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันไม่ให้เป็นโรคหัดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่คือ การฉีดวัคซีนโรคหัดเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน
วัคซีนโรคหัด (MMR)
วัคซีนโรคหัด (MMR) เป็นวัคซีนป้องกันโรคหัด (Measles) คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella) ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถพัฒนาวัคซีนให้สามารถฉีดรวมกันในเข็มเดียวได้ เพื่อลดความเจ็บปวด ให้ความสะดวก ประหยัดเวลา และประหยัดค่าใช้จ่าย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การรับวัคซีนโรคหัด (MMR) สามารถรับครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุ 9 เดือน และรับวัคซีนซ้ำครั้งที่ 2 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเมื่ออายุ 2 ปีครึ่ง สำหรับเด็กที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามกำหนด เมื่อมีอายุ 7 ปี สามารถรับวัคซีนได้อีกครั้ง
ใครควรเข้ารับการฉีดวัคซีน?
ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) แนะนำให้เด็กทุกคนฉีดวัคซีน MMR เข็มแรกควรให้ระหว่างอายุ 9 เดือน และแนะนำให้ฉีดเข็มที่สองระหว่างอายุ 2 ปีครึ่ง หรือสามารถฉีดในช่วงใดก็ได้หลังจากการฉีดเข็มแรกไปแล้ว 28 วัน
สำหรับผู้ใหญ่ อาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน MMR หากว่า คุณมีคุณสมบัติเข้าข่ายต่อไปนี้
- เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนตอนเด็ก ไม่ว่าจะเป็นแบบ MMR 2 เข็ม หรือ MMR เข็มแรก และวัคซีนโรคหัดเป็นเข็มที่ 2
- เกิดก่อนปี ค.ศ. 1957 ( คุณน่าจะเคยติดเชื้อนี้ตอนที่เป็นเด็กแล้วและขณะนี้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคแล้ว)
- มีผลการตรวจเลือดที่แสดงว่า มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัด คางทูม และหัดเยอรมัน
- เป็นผู้หญิงที่เกิดก่อนปีค.ศ. 1957 และมั่นใจว่า จะไม่มีบุตรอีก เคยได้รับวัคซีนโรคหัดเยอรมัน หรือมีผลตรวจเลือดพบภูมิต่อโรคหัดเยอรมัน
หากคุณเคยได้รับ วัคซีน MMR แค่ 1 เข็ม และมีความเสี่ยงต่ำที่จะมีการติดเชื้อไวรัส คุณอาจไม่ต้องฉีดเข็มที่ 2 ก็ได้
อย่างไรก็ตาม คุณควรได้รับวัคซีน MMR 2 เข็ม หากคุณอยู่ในภาวะต่อไปนี้
- เคยได้รับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งใช้ระหว่างปีค.ศ. 1963-1967
- เคยได้รับวัคซีนชนิดโรคคางทูมชนิดเชื้อตายก่อนปีค.ศ. 1979 และมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
- เป็นผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
- นักเรียนและนักศึกษาที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนนี้
- วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ หรือเดินทางด้วยเรือสำราญ
- เป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์อื่นๆ
- อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีการระบาดของโรค
ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดวัคซีน MMR
- อยู่ระหว่างกำลังตั้งครรภ์ หรือคิดว่า มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์
- มีบิดา มารดา หรือพี่น้องที่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
- มีประวัติแพ้วัคซีน MMR ที่ฉีดเข็มแรก อย่างร้ายแรง
- มีประวัติแพ้วัคซีน หรือยานีโอมัยซิน เจลาติน
- ผู้ที่ได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
- มีระดับภูมิคุ้มกันที่ต่ำมาก เช่น จากการติดเชื้อ HIV
- ผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งได้รับยาเคมีบำบัด หรือฉายแสง
- เคยมีภาวะโรคที่ทำให้ฟกช้ำ หรือเลือดออกได้ง่าย
- ผู้ป่วยวัณโรค
- ผู้ที่ได้รับเลือด และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากเลือด
- ผู้มีอาการป่วย หรือไม่สบาย แม้ว่าจะเล็กน้อย เช่น หวัด
- ได้รับวัคซีนอื่นในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลข้างเคียงของวัคซีน
- มีไข้สูงภายใน 5-12 วัน หลังจากนั้นไข้จะลดลง
- มีผื่นขึ้นตามร่างกายเล็กน้อยราว 1-2 สัปดาห์
- ปวดข้อ
- บวมแดง ร้อน บริเวณที่ฉีด
- มีต่อมน้ำเหลืองบริเวณแก้ม คอ หรือใต้ขากรรไกรโต
- ชักจากการมีไข้สูง
ผลข้างเคียงเหล่านี้เป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปเช่นเดียวกับการฉีกวัคซีนชนิดอื่นๆ แต่หากมีผลข้างเคียงอย่างรุนแรง ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ จากวัคซีน MMR ที่พบได้น้อยประกอบด้วย สูญเสียการได้ยินถาวร มีอาการชัก และระดับการรู้สึกตัวลดลงเป็นเวลานาน และสมองถูกทำลาย
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้พบได้น้อยมาก การรับวัคซีนป้องกันโรคจึงเป็นการลงทุนเพื่อป้องกันโรคที่คุ้มค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับการรักษาโรค หรือเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
ราคาวัคซีน MMR
สำหรับราคาวัคซีน MMR ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคหัด (Measles) คางทูม (Mumps) และหัดเยอรมัน (Rubella)
- สำหรับโรงพยาบาลรัฐบาล ราคาเข็มละ 300 - 700บาท
- สำหรับโรงพยาบาลรัฐบาล ราคาเข็มละ 500-1,200 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมอัตราค่าบริการของโรงพยาบาลแต่ละแห่งซึ่งอาจแตกต่างกันไป
หากคุณมีบุตรหลานควรใส่ใจเรื่องการรับวัคซีนสำคัญๆ ตามกำหนด เพื่อให้พวกเขาเติบโตชึ้นอย่างแข็งแรง ห่างไกลจากโรคต่างๆ แม้แต่คุณผู้ใหญ่เอง หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังที่กล่าวมาก็ควรเข้ารับวัคซีนเช่นกัน
ดูแพ็กเกจฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
บทความที่เกี่ยวข้อง
วัคซีน MMR (วัคซีนโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน) คืออะไร จำเป็นหรือไม่ ใครควรฉีดบ้าง?