กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
พญ.วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
พญ.วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี

มะเร็งตับ (Liver cancer)

เผยแพร่ครั้งแรก 10 ก.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 25 ก.พ. 2020 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • โรคมะเร็งตับเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงระยะที่มะเร็งแพร่กระจาย หรืออยู่ในระยะที่ความรุนแรงของโรคส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับแล้ว
  • อาการแสดงที่พบบ่อย เช่น น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร รู้สึกคลื่นไส้อาเจียน มีอาการดีซ่าน ปวด หรือบวมที่ท้อง 
  • สาเหตุของโรคมะเร็งตับ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ โรคไขมันพอกตับ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีและบีเรื้อรัง โรคตับแข็ง ภาวะเหล็กเกิน 
  • การรักษาโรคมะเร็งตับขึ้นกับระยะของโรค ได้แก่ การผ่าตัด การปลูกถ่ายตับ การใช้ความร้อนทำลายเซลล์มะเร็ง และการใช้ยา
  • การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงก่อโรคมะเร็งตับ สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเอง และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับได้อีกทาง
  • ดูแพ็กเกจตรวจตับได้ที่นี่

โรคมะเร็งตับคือ มะเร็งที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง มีสาเหตุจากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเป็นเวลาหลายปี การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ภาวะอ้วน รับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นโรคตับแข็ง

การรักษาโรคมะเร็งตับทำได้โดยการผ่าตัด การปลูกถ่ายตับ การใช้คลื่นไมโครเวฟ หรือคลื่นวิทยุจี้ทำลาย แต่ในกรณีที่เป็นในระยะแพร่กระจายแล้วจะใช้ยาเคมีบำบัดในการรักษาแทน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ชนิดของโรคมะเร็งตับ 

โรคมะเร็งตับจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. โรคมะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ (Primary liver cancer) เกิดขึ้นจากตัวเนื้อเยื่อของตับเอง เป็นโรคมะเร็งชนิดร้ายแรงที่เกิดขึ้นภายในตับ
  2. โรคมะเร็งตับชนิดทุติยภูมิ (Secondary liver cancer) เกิดขึ้นจากมะเร็งชนิดอื่นแพร่กระจายมายังตับ

ข้อมูลที่จะกล่าวถึงในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ “โรคมะเร็งตับชนิดปฐมภูมิ” หรือโรคมะเร็งตับที่เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อของตับเท่านั้น

อาการของโรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับในระยะแรกมักจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงระยะที่มะเร็งแพร่กระจาย หรืออยู่ในระยะที่ความรุนแรงของโรคส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับแล้ว โดยจะมีอาการดังนี้

  • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ
  • เบื่ออาหาร
  • รู้สึกอิ่มมากภายหลังการรับประทานอาหาร แม้ว่าอาหารที่รับประทานจะมีจำนวนน้อยก็ตาม
  • รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวด หรือบวมที่ท้อง
  • ดีซ่าน (มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง)
  • คันตามผิวหนัง
  • รู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนแรงอย่างมาก

หากมีอาการใดๆ ก็ตามที่กล่าวไปในข้างต้น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกตินั้น แม้ว่าอาการโดยส่วนมากมักเกิดจากโรคที่พบได้บ่อย เช่น โรคติดเชื้อ 

หากเคยได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคตับ เช่น ตับแข็ง (Cirrhosis) ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C infection) แล้ว สุขภาพจะแย่ลงอย่างกะทันหัน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

สาเหตุของโรคมะเร็งตับ

สาเหตุยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับโรคตับแข็ง โรคนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อของตับถูกทำลาย เกิดเป็นพังผืด และไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งไม่ได้เป็นโรคมะเร็งตับทุกราย และผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคตับแข็งก็สามารถเป็นโรคมะเร็งตับได้เช่นกัน

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคตับแข็ง หรือเกิดพังผืดในตับ 

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันหลายปี ตับจะสูญเสียความสามารถในการสร้างเซลล์ตับใหม่ ทำให้เกิดความเสียหายและกลายเป็นพังผืดได้
  • โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแอลกอฮอล์ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ ในคนส่วนมาก แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีระดับไขมันสูงมาก หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดการอักเสบที่ทำให้เกิดพังผืดในตับได้
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง จะทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดเป็นแผลเป็น หรือพังผืดในตับได้ และยิ่งคุณสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย ก็จะทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งตับสูงขึ้น
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง สามารถทำให้เกิดพังผืดในตับได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบซี แต่การรักษาภาวะนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับได้
  • โรคตับแข็งจากทางเดินน้ำดีชนิดปฐมภูมิ (Primary biliary cirrhosis) สาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจนนัก แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้ ท่อน้ำดีจะค่อยๆ ถูกทำลายลง ทำให้เกิดการสะสมของน้ำดีภายในตับ ทำให้ตับได้รับความเสียหายและเกิดเป็นพังผืดขึ้น
  • ภาวะเหล็กเกิน (Haemochromatosis) ปริมาณธาตุเหล็กที่มากเกินไปจะก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้เกิดพังผืดที่ตับ และนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งตับได้

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ

  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับ มักพบในคนที่เป็นโรคอ้วน หรือโรคเบาหวาน
  • ผู้ใช้ยาบางชนิดที่เสี่ยงต่อโรคตับ
  • ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง
  • ผู้ที่ตรวจพบพยาธิสภาพของเนื้อตับมีพังผืดมาก
  • ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นเพศชายอายุมากกว่า 40 ปี หรือเพศหญิงอายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการตับแข็ง

หากคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจเฝ้าระวังโรคมะเร็งตับเป็นประจำทุกปี

วิธีการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ

ในคนทั่วๆ ไป การวินิจฉัยโรคตับระยะแรกอาจทำโดยแพทย์ทั่วไป โดยแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ เช่น อาการเริ่มเป็นเมื่อไร เมื่อไรที่เริ่มเห็นอาการเด่นชัด รวมถึงตรวจร่างกายให้กับคุณ

ส่วนผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนอื่นจะได้รับการตรวจเฝ้าระวังโรคมะเร็งตับทุกๆ 6 เดือน ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • การตรวจสแกนอัลตราซาวด์ (Ultrasound scans) คือ การใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อตรวจสแกน และสร้างเป็นภาพของตับ ซึ่งสามารถมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่ตับได้
  • การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาโปรตีนอัลฟาเฟโต (Alpha Feto Protein: AFP) เป็นโปรตีนที่พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งตับบางราย

หากแพทย์พิจารณาแล้วว่า จำเป็นต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติม แพทย์จะส่งต่อผู้ป่วยไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเพิ่มเติมต่อไป ได้แก่

  • การตรวจซีทีสแกน (Computerised Tomography Scans: CT Scans) การเอกซเรย์ตับเพื่อให้ภาพที่มีรายละเอียดเป็นภาพสามมิติ
  • การถ่ายภาพทางการแพทย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI) การใช้สนามแม่เหล็กเข้มข้นและคลื่นวิทยุเพื่อสร้างเป็นภาพเนื้อเยื่อภายในตับ
  • การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy) การใช้เข็มเจาะผ่านช่องท้องเพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อตับจำนวนเล็กน้อยไปตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
  • การใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy) การให้ยาสลบและกรีดแผลขนาดเล็กที่ช่องท้องเพื่อใส่กล้องที่ยืดหยุ่นได้เข้าไปตรวจตับ

ภายหลังการตรวจเหล่านี้ นอกจากจะช่วยยืนยันได้ว่า "คุณเป็นโรคมะเร็งตับหรือไม่" ยังสามารถช่วยประเมินระยะของโรคมะเร็งด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ระยะของโรคมะเร็งตับ

ระยะของโรคมะเร็งจะเป็นการอธิบายถึงการแพร่กระจายของโรคมะเร็งว่า แพร่กระจายไปมากน้อยเพียงใด โดยจะมีระบบที่แตกต่างกันหลายระบบในการบอกถึงระยะของโรคมะเร็งตับ 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งตับหลายคนจะใช้ "ระบบผสม" ในการบอกระยะของโรค

ระบบผสมในการบอกระยะของโรคจะช่วยอธิบายถึงลักษณะของมะเร็ง การทำงานของตับ ระยะเวลาของผู้ป่วยที่จะมีชีวิตอยู่ และความทนต่อการรักษาได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยได้

ระบบผสมในการอธิบายระยะของโรคมะเร็งตับ 

ระบบผสมจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ได้แก่

  • ระยะ 0: เนื้องอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2 เซนติเมตร (20 มิลลิเมตร) ผู้ป่วยยังมีสุขภาพดีมาก ตับมีการทำงานเป็นปกติ
  • ระยะ A: มีก้อนเนื้องอก 1 ก้อน โดยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยังน้อยกว่า 5 เซนติเมตร (50 มิลลิเมตร) หรือมีก้อนเนื้อ 3 ก้อนหรือน้อยกว่า ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 3 เซนติเมตร (30 มิลลิเมตร) ผู้ป่วยยังมีสุขภาพดีมาก และตับมีการทำงานเป็นปกติ
  • ระยะ B: มีก้อนเนื้องอกหลายก้อนในตับ แต่สุขภาพยังดี และการทำงานของตับยังไม่ได้รับผลกระทบ
  • ระยะ C: มีลักษณะใดๆ ก็ตามดังกล่าวข้างต้น แต่ผู้ป่วยเริ่มสุขภาพไม่ดี และการทำงานของตับก็ไม่ดีด้วย หรือมะเร็งเริ่มมีการแพร่กระจายเข้าสู่หลอดเลือดใหญ่ของตับ ใกล้กับต่อมน้ำเหลือง หรือแพร่ไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • ระยะ D: ตับสูญเสียการทำงานส่วนใหญ่ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการของโรคตับระยะสุดท้าย เช่น มีของเหลวในช่องท้อง

การรักษาโรคมะเร็งตับ

การรักษาโรคมะเร็งตับขึ้นกับระยะของโรค ได้แก่ การผ่าตัด การปลูกถ่ายตับ การใช้ความร้อนทำลายเซลล์มะเร็ง และการใช้ยา

ตัวอย่างแผนการรักษาโรคมะเร็งตับ

หากผู้ป่วยกำลังเป็นโรคมะเร็งตับในระยะ A การรักษาให้หายขาดสามารถเป็นไปได้ ผ่านวิธีการรักษา 3 วิธีหลัก ได้แก่

  • การผ่าตัดนำส่วนของตับที่เป็นมะเร็งออก
  • การปลูกถ่ายตับ
  • การใช้ความร้อนเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง ได้แก่ การใช้คลื่นไมโครเวฟ หรือการใช้คลื่นความถี่วิทยุ

หากคุณเป็นมะเร็งระยะ B หรือระยะ C การรักษาให้หายขาดมีโอกาสเป็นไปได้ยาก แพทย์จะใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อช่วยชะลอการดำเนินไปของโรคมะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นเป็นเดือน หรือในบางครั้งอาจนานเป็นปี

หากคุณเป็นมะเร็งในระยะ D ขณะได้รับการวินิจฉัยถือว่า ตรวจเจอโรคช้าเกินกว่าที่จะชะลอการแพร่กระจายของโรคมะเร็งแล้ว การรักษาจึงเน้นไปที่การบรรเทาอาการที่เกิดจากโรค เช่น อาการปวด หรืออาการไม่สบายตามร่างกายต่างๆ

วิธีป้องกันโรคมะเร็งตับ

การป้องกันโรคมะเร็งตับนั้น สามารถทำได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับ หรือพังผืดในตับ เช่น

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากจำเป็นต้องดื่มจริงๆ ไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเพราะอาจทำให้เกิดไขมันพอกที่ตับได้
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ และไวรัสตับอักเสบบี
  • หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งตับ เช่น เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือซีเรื้อรัง มีอาการตับแข็ง หรือมีญาติที่มีประวัติเป็นโรคมะเร็งตับ ควรไปตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับเป็นประจำทุกปี
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ

มะเร็งตับไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้นอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไขมันพอกตับที่หลายคนอาจยังไม่รู้จัก 

ดังนั้นการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงก่อโรคมะเร็งตับ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นผัก ผลไม้ การสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเอง และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับได้อีกทาง 

ดูแพ็กเกจตรวจตับ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


4 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Mayo Clinic Staff, Liver cancer (https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/liver-cancer/symptoms-causes/syc-20353659), 20 ธันวาคม 2562.
Gabriela Pichardo, Understanding Liver Cancer - the Basics (https://www.webmd.com/cancer/understanding-liver-cancer-basic-information#1), 20 ธันวาคม 2562.
อ.นพ.พงศธร ตั้งทวี และผศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์, มะเร็งตับ อีกหนึ่งโรคที่พบบ่อย (https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/มะเร็งตับ/), 21 ธันวาคม 2562.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

ดูคำถามและคำตอบอื่นๆ ที่เกี่ยวกับอาการนี้
ไวรัสตับ บี มีโอกาศหายมั้ยค่ะ
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
ผู้ป่วยที่เป็นไขมันเกาะตับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้มันสามารถกลายเป็นมะเร็งตับได่ไหมคะ
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
ผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายควรมีการปฎิบัติตัวอย่างไรคะ?
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)
ผลตรวจ มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งลำใส้ มะเร็งตับ ผลมีความเสี่ยงมั้ยครับ ค่า Monocyte ที่ขีด - ถือว่าปกติมั้ยครับ (มีรอยช้ำที่ขาแถวน่าแข็ง 1 ที่ ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการออกกำลังกายหรือเปล่า หรือชนอะไรมา และก็มีเลือดออกไรฟัน แต่ไม่บ่อยครับ (ส่วนตัวเ...
คำถามนี้ได้การตอบจากแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา)