ปัญหาผิวลาย ผิวสภาพเหมือนหนังไก่ตอนที่ถูกถอนขน รวมถึงปัญหาผิวเปลือกส้ม ล้วนเกิดจากไขมันใต้ผิวหนังกันทั้งนั้น ยิ่งถ้าบริเวณไหนคลำแล้วสะดุดไปตลอดทั้งแนว ก็แปลว่าบริเวณนั้น ๆ มีการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังในปริมาณมาก ถ้าเปรียบเทียบกับไขมันชนิดอื่น ๆ แล้ว ไขมันชั้นใต้ผิวหนังถือว่ามีประโยชน์มากกว่าไขมันชนิดอื่น ๆ และยังสามารถกำจัดได้ง่ายกว่าไขมันชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ใครที่กำลังหาวิธีที่จะกำจัดชั้นไขมันใต้ผิวหนัง รวมทั้งอยากรู้ว่าไขมันชั้นใต้ผิวหนังมีประโยชน์อะไรบ้าง ต้องไม่พลาดบทความนี้เลย
ไขมันชั้นใต้ผิวหนัง คืออะไร ?
ไขมันชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) เมื่อร่างกายได้รับไขมันเข้ามาในปริมาณมากจนไม่สามารถเผาผลาญได้ทัน ไขมันก็จะเข้ามาสะสมอยู่ภายในช่องท้องเป็นอันดับแรก และอันดับต่อมาก็จะเป็นชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งก็คือชั้นที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่เอง ภายในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง สามารถแบ่งออกได้มากถึง 3 ชั้น ซึ่งก็คือ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนังด้านบน เป็นชั้นไขมันที่อยู่ติดผิวหนังมากที่สุด (หากเกิดอุบัติเหตุที่กรีดลงผิวหนังเข้าไปลึก จะเห็นไขมันสีขาวซึ่งก็คือไขมันใต้ผิวหนังด้านบนสุด) หน้าที่ของมัน คือการห่อหุ้มต่อมเหงื่อและรากขน โดยจะมีเส้นเลือดและเส้นประสาทแทรกอยู่ในไขมันชั้นนี้และทำหน้าที่หล่อเลี้ยงต่อมต่าง ๆ
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนังด้านกลาง มักจะพบเจออยู่ตามแขน ขา หรือส่วนที่ผิวหนังหนา ๆ แต่ถ้าหากเป็นผิวบาง เช่น หนังตา สันจมูก จะไม่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังในชั้นนี้
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนังด้านล่าง จะรองรับการกระแทกต่าง ๆ โดยชั้นนี้จะมีลักษณะเป็นพังผืด และชั้นไขมันที่จับตัวกันเป็นก้อนกลม ถ้าหากมีมากเกินไปก็จะทำให้เกิด "เซลลูไลท์" หรือลักษณะผิวแบบเปลือกส้ม มักจะพบได้ตามต้นขา และหน้าท้อง
หน้าที่ของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ไขมันชั้นใต้ผิวหนัง มีประโยชน์มากกว่าไขมันชนิดอื่น ๆ นั่นก็คือ
- เป็นแหล่งสะสมพลังงานของร่างกายที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย
- ช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้เกิดความสมดุล
- ช่วยทำหน้าที่เหมือนถุงลมนิรภัยในการรับแรงกระแทก กรณีที่เกิดอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้อวัยวะภายในได้นับอันตราย
- วิตามินบางชนิด ที่จะละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A วิตามิน E วิตามิน K สามารถละลายได้ในไขมันชั้นนี้
- มีการหลั่งสารที่จะทำหน้าที่ในการสื่อสารระหว่างเซลล์ได้ในชั้นนี้
- มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนเพศ
วิธีการวัดไขมันชั้นใต้ผิวหนัง
ในส่วนของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง จะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการวัด โดยเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่
เครื่องชั่งน้ำหนักแบบ Body Composition เครื่องชั่งนี้จะสามารถให้ผลได้อย่างแม่นยำ ก็ต่อเมื่อคุณได้กรอกรายละเอียดที่สำคัญลงไป เช่น ส่วนสูง เพศ รอบเอว งานที่ทำประจำ (แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ เช่น เรียนหนังสือ ออฟฟิศ นักกีฬา เป็นต้น) เมื่อใส่ข้อมูลแล้ว ก็ขึ้นไปชั่งน้ำหนักตามปกติ ก็จะได้ค่าน้ำหนัก ไขมัน กล้ามเนื้อ เพื่อที่จะได้วางแผนการออกกำลังกาย และการทานอาหารต่อไป
การวัดด้วยเครื่อง Fat Caliper เป็นวิธีการที่ค่อนข้างง่ายและสะดวก เพราะไขมันชั้นใต้ผิวหนัง เป็นไขมันที่เราสามารถสัมผัสได้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว วิธีการวัดก็คือ เอามือหยิกเนื้อบริเวณเหนือกระดูกสะโพกขึ้นมา 1 นิ้ว แล้วใช้เครื่องหนีบวัดค่าตอนที่ยังเอานิ้วหยิกเนื้อไว้อยู่ เมื่อได้ค่าแล้ว ก็ให้เอามาเปรียบเทียบกับเปอร์เซ็นต์ไขมันตามตารางที่มีแตกต่อไป (ควรวัดอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ค่าอย่างแม่นยำมากขึ้น)
ในกรณีที่ไม่สามารถหาอุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างนี้ได้ ก็มีวิธีการวัดอีกแบบที่ง่าย ๆ ก็คือการใช้สายวัด วัดที่รอบข้อมือ บริเวณสะดือ รอบสะโพก และรอบต้นแขนที่ใหญ่ที่สุด พร้อมกับชั่งน้ำหนักให้เรียบร้อย แล้วนำมาใส่ตามเว็บไซต์ที่มีการคำนวณโดยอัตโนมัติ ก็จะได้ค่าไขมันชั้นใต้ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย
วิธีลดไขมันชั้นใต้ผิวหนัง
ไขมันชั้นใต้ผิวหนัง เป็นไขมันชั้นที่สามารถลดได้ง่ายที่สุด และเห็นผลได้ด้วยตาเปล่า สำหรับวิธีที่ได้รับความนิยมมากในการลดไขมันชั้นใต้ผิวหนัง คือ
- ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด พยายามทานให้น้อยกว่า 2,000 แคลอรี่ โดยเลือกทานเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ผักและผลไม้เป็นหลัก เพราะทั้งหมดนี้เป็นอาหารที่สามารถย่อยง่าย ดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบลำไส้
- ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะวิ่ง ว่ายน้ำ หรือกระโดดเชือก ควรทำอย่างน้อย 30-45 นาทีขึ้นไป อาทิตย์ละ 4-5 วัน ไขมันจะค่อย ๆ ลดลงไปเอง
- ดูดไขมัน เป็นวิธีที่ไม่ค่อยอยากจะแนะนำสักเท่าไร เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และมีผลข้างเคียงพอสมควร แต่ถ้าหากต้องการการลดไขมันอย่างรวดเร็ว วิธีนี้ก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ต้องอธิบายก่อนว่า ไม่ใช่ดูดไขมันแล้วจะหายขาดเลย หากอนาคตยังมีการทานไขมันเข้าไปในปริมาณมาก และยังไม่ชอบออกกำลังกายอยู่เหมือนเดิม ก็มีโอกาสที่จะกลับมามีไขมันชั้นใต้ผิวหนังสูงเหมือนเดิม
ถึงแม้ว่าไขมันชั้นใต้ผิวหนังจะมีประโยชน์ต่อร่างกายการหลายประการ แต่ถ้าหากว่ามีมากจนเกินไป ก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพผิว รวมทั้งยังเป็นบ่อเกิดของความอ้วน ที่อาจจะนำไปสู่การเป็นโรคร้ายต่าง ๆ อีกมากมาย
บทความที่เกี่ยวข้อง
4 นวัตกรรมลดไขมัน กระชับสัดส่วน เสริมความงามให้ร่างกาย