เชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงต้องการมีรูปร่างที่กระชับ ได้สัดส่วน ผิวหนังเต่งตึง ไม่มีเซลลูไลต์หรือไขมันส่วนเกินมากวนใจอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันก็มีนวัตกรรมความงามหลากหลายรูปแบบที่ช่วยเสริมความมั่นใจ ลดไขมัน กระชับสัดส่วนของคุณได้ ทั้งการร้อยไหม การทำคาร์บอกซี การโบท็อกซ์ การทำ Lipo หรือการทำ Hifu แต่หลายคนอาจสงสัยว่านวัตกรรมความงามเหล่านั้นคืออะไร แต่ละรูปแบบช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร และมีข้อดีข้อเสียเช่นไรบ้าง HonestDocs มีคำตอบ
1. การร้อยไหม
การร้อยไหมเป็นหนึ่งในนวัตกรรมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี โดยหลักการคือใช้ไหมเส้นเล็กๆ จำนวนมากมาร้อยเข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนัง ไขว้กันไปมาคล้ายตาข่าย ซึ่งเส้นไหมเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ กระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่มีหน้าที่ในการสร้างเส้นใยคอลลาเจน จากนั้นคอลลาเจนที่เกิดขึ้นใหม่นี้จะเข้าไปพันรอบแนวเส้นไหม จนเกิดการดึงรั้งผิวหน้าและผิวกาย ทำให้ผิวที่เคยมีริ้วรอยหรือหย่อนคล้อยกลับมากระชับ เต่งตึงขึ้น และหากร้อยไหมบริเวณใบหน้าจะมีส่วนช่วยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์และดูเรียวขึ้นด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ทั้งนี้ แพทย์จะพิจารณาการร้อยไหมตามโครงสร้างหน้าของแต่ละบุคคล ใช้เวลาในการทำประมาณ 20-40 นาที ผู้เข้ารับการร้อยไหมอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย รวมถึงอาจมีอาการช้ำ บวมแดงบ้าง แต่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ และเห็นผลว่าผิวกระชับเต่งตึงภายในระยะเวลา 2 เดือน
ชนิดของเส้นไหมต่างๆ
เส้นไหมสำหรับการร้อยไหมที่ได้มาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศนั้น
จะผลิตจากโพลีอ็อกซาโนน (Polydioxanone: PDO) เป็นไหมที่ใช้ในการศัลยกรรมเย็บเส้นเลือดหัวใจ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไม่ทำปฏิกิริยาต่อผิวหนัง และมีโอกาสแพ้น้อยมาก โดยเส้นไหมจะสลายตัวภายในระยะเวลาประมาณ 8 เดือน และจะสามารถรักษาความเต่งตึงให้ผิวหนังบริเวณที่ร้อยไหมได้ประมาณ 2 ปี
ทั้งนี้การร้อยไหมนั้นมี 3 รูปแบบหลักๆ นั่นคือ
- เส้นไหมเรียบ (Mono threads) เป็นเส้นไหมที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง แต่ไม่ช่วยยกกระชับชั้นผิวหนัง นิยมใช้ร้อยไหมบริเวณลำคอ หน้าผาก และใต้ตา
- เส้นไหมเกลียว (Screw threads) เป็นเส้นไหมเส้นเดียวหรือสองเส้นนำมาพันเป็นเกลียวเข้าด้วยกัน จะแข็งแรงกว่าไหมเรียบ ช่วยยกกระชับชั้นผิว แก้ปัญหาผิวหนังหย่อนยาน ยุบตัว หรือเป็นหลุม
- เส้นไหมที่มีเงี่ยง (Cog threads) เป็นเส้นไหมเส้นเดียวที่มีเงี่ยงตลอดแนว โดยเงี่ยงจะทำหน้าที่คล้ายโครงสร้าง ยึดเกาะชั้นผิวหนัง ยกเนื้อเยื่อหรือผิวหนังที่หย่อนยาน เหมาะสำหรับการยกกระชับบริเวณคาง ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการร้อยไหม
- 2 สัปดาห์หลังจากการร้อยไหม ไม่ควรทำเลเซอร์บริเวณที่ร้อยไหม
- 2 เดือนหลังจากการร้อยไหม ไม่ควรนวดบริเวณที่ร้อยไหม
- แม้ว่าเส้นไหมจะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย. แต่ก็ยังสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังบวมแดง ตุ่มแดงตามแนวที่ร้อยไหม รอยบุ๋มที่ผิวหนัง หรืออาจเกิดพังผืดบริเวณที่ร้อยไหมได้
- อันตรายจากการร้อยไหมนั้นส่วนใหญ่เกิดจากความไม่ชำนาญและการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นควรเลือกใช้บริการการร้อยไหมจากสถานพยาบาลหรือคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองมาตรฐานชัดเจน
2. Carboxy therapy หรือ คาร์บอกซี ลดไขมัน
คาร์บอกซี คือนวัตกรรมการลดไขมันส่วนเกิน ขจัดเซลลูไลต์ ต้นเหตุของผิวเปลือกส้ม ผิวแตกลาย ไม่สม่ำเสมอ ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน ลดเซลลูไลต์และรอยแตกลายตามร่างกาย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้เป็นชนิดเดียวกับที่พบตามธรรมชาติ และเหมือนกับที่ร่างกายของเราขับออกทางการหายใจ จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งยังเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคเส้นเลือดตีบมาเป็นเวลานาน และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารละยาของประเทศสหรัฐอเมริกาว่าปลอดภัย
ดูดไขมันหน้าเรียวกับหมอบอส - Natchaya Clinic ผลลัพธ์นาน 1 ปี
ประสบการณ์ 2,000+ เคส / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / ดูดทั้งแก้ม กรอบหน้า และเหนียง
เมื่อฉีดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นผิวหนัง จะส่งผลให้หลอดเลือดดำและแดงขยายตัว การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น จึงสามารถลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น การเพิ่มของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจนในหลอดเลือดนี้เองจะทำให้ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังถูกดึงออกมาใช้งาน ซึ่งจะแปรรูปเป็นพลังงานและสลายตัวทันที โดยขับถ่ายออกทางต่อมน้ำเหลืองและระบบขับถ่ายของร่างกาย
กระบวนการนี้จึงช่วยลดไขมันส่วนเกิน เซลลูไลต์ หรือรอยแตกลายตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ โดยใช้เวลาทำประมาณ 10-20 นาที ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ต่อเนื่อง 5-10 ครั้งจึงเห็นผล ซึ่งความชัดเจนของผลการรักษานั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันที่สะสม แต่โดยส่วนใหญ่จะลดไขมันลงประมาณ 30%
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำคาร์บอกซี
- หลังทำคาร์บอกซีอาจเกิดความรู้สึกแสบหรือตึงบริเวณผิวหนังได้ เนื่องจากคาร์บอนไดออกไซด์จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แต่อาการต่างๆ จะค่อยๆ หายไปเอง
- หลังทำคาร์บอกซีอาจมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย ง่วงนอนได้
- ผู้ที่เป็นโรคปอดควรระมัดระวังในการทำคาร์บอกซี
- 30% ของผู้ป่วยพบก้อนเลือดขังเล็กน้อย จากการฉีดยาและจะค่อยๆ หายไปเอง
- 70% ของผู้ป่วยรู้สึกปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะเกิดในระยะเวลาสั้นๆ และไม่รุนแรง
3. Botox (โบท็อกซ์)
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินนวัตกรรมความงามที่เรียกว่าโบท็อกซ์อย่างแน่นอน เพราะนิยมฉีดกันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกตามใบหน้า ยกกระชับผิว ปรับโครงหน้าให้เข้ารูปยิ่งขึ้น หรือฉีดเพื่อดับกลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณรักแร้ หรือฉีดเพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ เป็นต้น โดยโบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางกการค้าของสารที่มีชื่อว่า โบทูลินัมท็อกซินเอ (Botulinum toxin A) สกัดจากแบคทีเรียคลอสตริเดียมโบทูลินัม (Clostridium botulinum) เมื่อฉีดเข้าร่างกายแล้วจะออกฤทธิ์ไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวออก จึงสามารถลดเลือนริ้วลอยลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยปรับลดขนาดของกล้ามเนื้อ ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จะเริ่มเห็นผลหลังจากการฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 1-2 วัน และฤทธิ์จะมีประสิทธิภาพสูงสุดนาน 1-2 สัปดาห์ จากนั้นจะค่อยๆ อ่อนฤทธิ์ลง และสลายไปเองตามธรรมชาติภายใน 3-6 เดือน ซึ่งต้องกลับมาฉีดซ้ำ
ชนิดของโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ที่ฉีดกันในประเทศไทยผลิตจากหลากหลายประเทศ ทั้งประเทษอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน เกาหลี จีน และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่ได้มาตรฐานและนิยมฉีดกันในปัจจุบันมาจาก 3 ประเทศ ได้แก่
- ประเทศอังกฤษ ชื่อยี่ห้อคือ Dyspot จุดเด่นคือกระจายตัวได้ดี เหมาะสำหรับใช้กับบริเวณกว้าง เช่น ฉีดลดเหงื่อ ลดต้นแขน ลดน่อง
- ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อยี่ห้อคือ Botox เป็นโบท็อกซ์ที่ผลิตมายาวนานที่สุด จุดเด่นคือการกระจายตัวค่อนข้างแคบ ทำให้ควบคุมพื้นที่การฉีดได้แม่นยำ ขณะเดียวกันหากแพทย์ไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจจะเกิดขึ้นผิดพลาดที่ชัดเจน เช่น ปัญหาคิ้วไม่เท่ากัน ยิ้มแข็ง หรือแก้มตอบ เป็นต้น
- ประเทศเยอรมนี ชื่อยี่ห้อคือ Xeomin จุดเด่นคือเป็นสารโบทูลินัมท็อกซินเอที่บริสุทธิ์ที่สุด เพราะมีการสกัดโปรตีนขนาดใหญ่ที่ไม่จำเป็นออก ฉีดแล้วจะไม่กระจุกตัวแคบจนเกินไป ใช้ได้ดีสำหรับผู้มีปัญหาเคยฉีดโบท็อกซ์แล้วดื้อยาเกิดการดื้อยา ซึ่งต้องหยุดฉีดโบท็อกซ์อย่างน้อย 2 ปีจึงฉีดต่อได้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำโบท็อกซ์
- 1 สัปดาห์ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ควรงดรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน รวมทั้งวิตามิน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน A, E หรือน้ำมันตับปลา เพราะอาจทำให้เกิดอาการบวมแดงได้
- 1-2 ชั่วโมงหลังการฉีดโบท็อกซ์ ควรพยายามขยับกล้ามเนื้อเพื่อให้ตัวยากระจายสู่กล้ามเนื้อได้มากขึ้น
- 4 ชั่วโมงหลังจากการฉีดโบท็อกซ์ควรงดการนอนราบ
- แม้ว่าโบท็อกซ์จะเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหลายประเทศทั่วโลก แต่หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ หรือใช้สารสกัดที่ไม่ได้มาตรฐานอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น เกิดการแพ้ อักเสบหรือติดเชื้อรุนแรงหรือหากฉีดไปโดนเส้นประสาทบางเส้น อาจทำให้เกิดอาการปากเบี้ยว หน้าแข็งตามมาได้
4. HIFU กระชับผิว ช่วยลดไขมัน
HIFU (High Intensity Focused Ultrasound) คือ วิธียกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอย ลดไขมัน โดยการใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูง กระตุ้นลึกไปถึงชั้นใต้ผิวหนังให้เซลล์ผลิตเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งทำให้เส้นใยคอลลาเจนจัดเรียงตัวใหม่ซึ่งช่วยให้ผิวบริเวณที่ถูกกระตุ้นกระชับ ยืดหยุ่น แลดูอ่อนเยาว์และยังช่วยปรับแนวโครงหน้าให้ชัดเจนขึ้นด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เดิมทีนวัตกรรม HIFU เป็นกระบวนการรักษาทางการแพทย์สำหรับกำจัดเนื้องอก ต่อมาจึงมีการทดลองประสิทธิภาพด้านอื่นๆ ซึ่งพบว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ชั้นใต้ผิวหนังได้ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาประกาศให้นำมาใช้ในการศัลยกรรมเสริมความงาม
หลังจากทำ HIFU แล้วผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาและสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการทำ HIFU
- HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุไม่มากนัก ประมาณ 25-35 ปี เนื่องจากประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกกระตุ้นด้วยความร้อนจากคลื่นอัลตราซาวนด์จะมีประสิทธิภาพมากกว่า หากผู้ทำอายุมาก ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูจะค่อนข้างน้อย ทำให้เห็นผลไม่ชัดเจน
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเริม ควรรับประทานยาป้องกันเชื้อไวรัสล่วงหน้า 2 วันก่อนทำ HIFU และหลังทำควรรับประทานยาติดต่อกันอีก 6 วัน เพื่อป้องกันอาการกำเริบ
- แม้ HIFU จะมีอาการข้างเคียงน้อยมาก เช่น มีเพียงรอยแดง รู้สึกเจ็บบริเวณที่ทำ ซึ่งจะหายได้เองในระยะเวลาไม่นาน แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน โดยผู้ที่มีบาดแผลเปิด ยังไม่หายดี มีแผลเป็นคีลอยด์ เป็นสิวซีสต์ หรือมีการฝังโลหะใต้ผิวหนัง สตรีมีครรภ์ ไม่ควรทำ HIFU หรือควรปรึกษาแพทย์รวมทั้งบอกถึงอาการทั้งหมดให้แพทย์รับทราบก่อนเข้าทำ HIFU
นวัตกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น นับว่าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและค่อนข้างเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ แต่ผู้ใช้บริการก็ควรศึกษาข้อมูล ข้อดีข้อเสีย ข้อจำกัด และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยละเอียดก่อนตัดสินใจใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยของร่างกาย แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่านวัตกรรมเสริมความงามจะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด ก็เป็นเพียงตัวช่วยเสริมชั่วคราวเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาร่างกายให้ดีที่สุด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในและมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
บทความที่เกี่ยวข้อง
Carboxy...สลายไขมันด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์