ในร่างกายของมนุษย์ มีกระบวนการและกลไกต่างๆ ที่ทำงานประสานกันได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะกระบวนการเปลี่ยนสารอาหารไปเป็นพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน
เมื่อใดก็ตามที่เรารับประทานอาหารมากกว่าที่ร่างกายต้องการ พลังงานที่เหลือจากการใช้เหล่านั้นก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็นไขมันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า กระบวนการนี้มีการทำงานอย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรบ้างที่จะช่วยเพิ่มการสลายไขมันให้กับร่างกายได้ดียิ่งขึ้น
ไขมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ไขมัน เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยในการละลายและดูดซึมวิตามินบางตัว ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ป้องกันการกระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายใน และสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เป็นต้น
จริงอยู่ที่ว่า ไขมันมีประโยชน์ถ้าหากได้รับในปริมาณที่พอดี แต่ถ้ามากเกินไปก็จะเป็นโทษ เกิดปัญหาสุขภาพตามมาหลายอย่าง ซึ่งมักเกิดจากไขมันสะสมในร่างกาย ที่มาจากการรับประทานอาหารเป็นหลักนั่นเอง
หากอาหารที่รับประทานเข้าไป เป็นอาหารที่ให้พลังงานและมีไขมันสูงย่อมทำให้ระบบย่อยอาหารไม่สามารถย่อยได้ทั้งหมด ทำให้สารอาหารต่างๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล มีการเปลี่ยนรูปไปเป็นไขมันไปเกาะตามบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
โดยจุดที่มักจะมีการสะสมไขมันมากที่สุด คือ บริเวณช่องท้อง บริเวณใต้ผิวหนัง บริเวณใกล้เคียงกับอวัยวะภายใน หากมีปริมาณไขมันสะสมมากเกินไป
ในบางคนอาจถึงขั้นไปพอกบนอวัยวะภายในได้ เช่น ไขมันพอกตับ เป็นต้น และอาจจะพบได้ในกล้ามเนื้อบางส่วน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ความสำคัญของกระบวนการสร้างไขมันในส่วนนี้ ก็เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานสำรอง ในกรณีที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลัก (คาร์โบไฮเดรต)หรือใช้พลังงานหลักหมดไปแล้ว เช่น การออกกำลังกายต่อเนื่องกันเป็นเวลามากกว่า 45 นาทีขึ้นไป
แน่นอนว่าหากไม่ได้ทำกิจกรรมจนถึงขั้นต้องเอาพลังงานสำรองออกมาใช้ ก็เป็นอันมั่นใจได้ว่าไขมันเหล่านี้จะส่งผลให้เรากลายเป็นคน “อ้วน” ในอนาคต
ไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจะส่งผลอะไรได้บ้าง
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า จุดสำคัญที่มักจะมีเกิดการสะสมของไขมัน มีด้วยกัน 4 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะส่งผลต่อร่างกายที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. บริเวณช่องท้อง
การสะสมของไขมันในบริเวณนี้ ส่งผลให้เกิดภาวะ “อ้วนลงพุง”
และอาจทำให้เกิดการเบียดบังอวัยวะภายในที่อยู่ในช่องท้องจนทำให้เกิดความผิดปกติตามมา
ถ้าหากมีการสะสมไขมันในช่องท้องมาก อาจนำไปสู่การเป็นโรคร้ายหลายชนิด และการสลายไขมันในส่วนนี้ทำได้ยากที่สุด
2. บริเวณใต้ผิวหนัง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
สามารถพบการสะสมไขมันในส่วนนี้ได้มากตาม ท้อง เอว สะโพก ต้นขาส่วนบนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือที่รู้จักกันดีในนาม “เซลลูไลท์” การสลายไขมันในส่วนนี้สามารถทำได้ยากเช่นกัน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับในช่องท้อง ก็ถือว่าง่ายกว่าพอสมควร
3. บริเวณกล้ามเนื้อ
มักจะพบในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน และคนที่อ้วนมากๆ
คนที่มีน้ำหนักมาก ค่า BMI สูง ควรหาโอกาสตรวจเบาหวานกับแพทย์เพื่อเช็กระดับไขมันและระดับน้ำตาลในเลือด เพราะหากเป็นความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน จะทำให้กระทบต่อการใช้ชีวิตอื่นๆ อีกหลายด้านตามมาในภายหลัง เช่น โรคหัวใจ โรคไต
4. บริเวณใกล้เคียงกับอวัยวะภายใน
หากมีการสะสมของไขมันใกล้กับอวัยวะภายในมาก โอกาสที่ไขมันจะเคลื่อนไปพอกบนอวัยวะได้มากเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลทั้งในเรื่องของระบบไหลเวียนเลือด และการทำงานของอวัยวะนั้นๆ
ที่ผิดไปจากเดิม
กระบวนการสลายไขมันในร่างกาย เกิดขึ้นได้อย่างไร?
กระบวนการที่ช่วยในการสลายไขมันของร่างกาย คือ กระบวนการ "เมตาบอลิซึม" ซึ่งทำหน้าที่ในการสลายอาหารที่รับประทานให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน และจะทำหน้าที่ในการเสริมสร้าง โดยนำอาหารที่เปลี่ยนเป็นพลังงานไปซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
นอกจากนี้ กระบวนการเมตาบอลิซึม ยังสามารถช่วยในการเผาผลาญพลังงาน หรือไขมันให้สลายออกจากร่างกายได้ การที่ร่างกายจะสลายไขมันได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. อาหารที่รับประทานเข้าไป
ตามปกติแล้ว ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารอยู่ที่ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี่ ถ้าหากได้รับพลังงานน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการสลายไขมันได้ในปริมาณมาก เพราะเมื่อร่างกายเผาผลาญพลังงานหลักไปหมดแล้ว ก็จะดึงไขมันสะสมออกมาเผาผลาญต่อนั่นเอง แต่เมื่อไรก็ตามที่ได้รับพลังงานเกินกว่าความจำเป็นของร่างกาย ก็จะทำให้พลังงานเหล่านั้นสะสมอยู่ในรูปของไขมันต่อไป
2. การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีการดึงพลังงานที่สะสมไว้ออกมาใช้ ถ้าหากเคลื่อนไหวบ่อย หรือเคลื่อนไหวต่อเนื่องมากกว่า 30 นาที ก็จะยิ่งทำให้เกิดการดึงพลังงานออกมาใช้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น (กิจกรรมในเวลา 1 ชั่วโมง) โดยยิ่งใช้พลังงานต่อเนื่องนานเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะดึงพลังงานจากไขมันมาใช้มากขั้นเท่านั้น
- ซักผ้าด้วยมือ เผาผลาญ 240 กิโลแคลอรี่
- เดินช้อปปิ้ง เผาผลาญ 210 กิโลแคลอรี่
- นั่งทำงาน เผาผลาญ 110 กิโลแคลอรี่
- วิ่งเหยาะๆ เผาผลาญ 600 กิโลแคลอรี่
- ขี่จักรยาน เผาผลาญ 450 กิโลแคลอรี่
3. อัตราการเผาผลาญของร่างกาย
ในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับมวลกล้ามเนื้อที่มีในร่างกายโดยตรง ในผู้ชายจะมีอัตราการเผาผลาญ (ในกรณีที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ) มากกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นหากมีการเพิ่มกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ก็จะสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญในส่วนนี้เพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกัน หากมวลกล้ามเนื้อเกิดสลายไปจากการลดน้ำหนักที่ผิดวิธี จะทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายลดน้อยลงด้วยเหตุผลเดียวกัน
สรุป ไม่มีวิธีใดที่จะช่วยให้ร่างกายมีการสลายไขมันได้เท่ากับการควบคุมอาหารควบคู่กับออกกำลังกาย ถึงแม้ว่าวิธีนี้ต้องใช้เวลานาน แต่ก็ส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาวมากกว่า รวมถึงช่วยให้การสลายไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง
รีวิว สลายไขมันด้วยความเย็น CoolSculpting ที่ MN Clinic | HDmall
รีวิว CoolSculpting จากเดอะไซน์คลินิก | HDmall
รีวิว นวดสลายเซลลูไลท์ ทำสปาบำรุงผิว ที่ Perfect Figure Slimming & Spa | HDmall
รีวิว Cool Slim สลายไขมันที่หน้าท้อง ที่ Punnisa Clinic | HDmall
รีวิว Venus Legacy เทคโนโลยี สลายไขมัน ที่ Identity Medical Clinic | HDmall
รีวิว สลายไขมันต้นขา ด้วย Cool Slimming ที่ Levince Clinic | HDmall
ดูแพ็กเกจตรวจเบาหวาน เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android