ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infections - UTI) ในเด็กเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและมักจะไม่ร้ายแรง ภาวะนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
UTI สามารถจำแนกได้เป็น:
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- UTI ส่วนบน/ตอนต้น: หากว่าเป็นการติดเชื้อที่ท่อไตหรือที่ไต (ท่อไตคือจุดที่เชื่อมระหว่างไตกับกระเพาะปัสสาวะ)
- UTI ส่วนล่าง/ตอนล่าง: หากว่าเป็นการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ (cystitis) หรือท่อปัสสาวะ (ท่อที่ใช้ลำเลียงปัสสาวะออกจากร่างกาย)
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
หากคุณคิดว่าลูกของคุณไม่สบายและอาจประสบกับภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ให้ติดต่อแพทย์ทันทีที่ทำได้
แม้ว่า UTI จะไม่ใช่ภาวะติดเชื้อประเภทที่ร้ายแรง คุณก็ควรพาลูกไปรับการวินิจฉัยและรักษาให้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
อาการของภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก
เป็นการยากที่จะยืนยันว่าลูกของคุณเป็น UTI จริงหรือไม่เพราะอาการของภาวะนี้มีความกำกวม และเด็กเล็กก็ยังไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกของพวกเขาได้อย่างตรงไปตรงมา
สัญญาณทั่วไปที่บ่งชี้ถึงความไม่สบายเนื้อสบายตัวของลูกคุณมีดังนี้:
- มีไข้สูง
- อาเจียน
- เหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง
- ฉุนเฉียว
- ป้อนอาหารยาก
- น้ำหนักไม่เพิ่มตามที่ควรจะเป็น
- สำหรับเด็กเล็กมากอาจมีภาวะผิวและตาขาวสีเหลือง (ดีซ่าน)
สัญญาณบ่งชี้ว่าลูกของคุณอาจเป็น UTI มีดังนี้:
- ความรู้สึกเจ็บหรือแสบร้อนขณะปัสสาวะ
- ต้องปัสสาวะบ่อย ๆ
- ไม่สามารถอั้นปัสสาวะได้นาน
- กิจวัตรการขับถ่ายเปลี่ยนจากเดิม เช่นปัสสาวะรดที่นอนหรือรดกางเกง
- เจ็บท้องน้อย สีข้าง หรือแผ่นหลังส่วนล่าง
- ปัสสาวะมีกลิ่นแรง
- มีเลือดปนปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีสีขุ่น
การวินิจฉัยภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก
กรณีส่วนมากแพทย์จะสามารถวินิจฉัยภาวะ UTI ได้จากการสอบถามอาการ ตรวจร่างกาย และจัดการตรวจปัสสาวะของเด็ก คุณอาจต้องทำการเก็บตัวอย่างปัสสาวะของเด็กเองที่บ้าน หรือให้แพทย์หรือพยาบาลที่สถานพยาบาลเป็นคนช่วย
การทดสอบนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถระบุสาเหตุของการติดเชื้อ และเพื่อดูว่าภาวะนี้เกิดขึ้น ณ ตำแหน่งใดของระบบทางเดินปัสสาวะ
การรักษาจะเริ่มขึ้นทันทีเมื่อได้รับผลการตรวจปัสสาวะ และจะไม่มีการทดสอบใด ๆ เพิ่มเติมอีก ในบางกรณี อาจต้องดำเนินการทดสอบเพิ่มเติมภายในโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาความผิดปรกติในร่างกายของเด็ก โดยแพทย์จะส่งคุณไปโรงพยาบาลทันทีหากลูกของคุณมีอายุน้อยมาก ๆ หรือเป็นเด็กที่มีอายุต่ำกว่าสามเดือน เพื่อเข้าพบกุมารแพทย์โดยไม่จำเป็นต้องตรวจปัสสาวะก่อน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
การเก็บตัวอย่างปัสสาวะของเด็กอาจทำได้ยาก โดยเฉพาะหากเป็นเด็กเล็กหรือทารก
หากคุณไม่มั่นใจในวิธีการหรือต้องการความช่วยเหลือ คุณสามารถปรึกษากับแพทย์หรือพยาบาลได้
สำหรับเด็กเล็กที่ขับถ่ายได้เองแล้ว คุณสามารถขอให้พวกเขาเก็บตัวอย่างปัสสาวะของตนเองได้ด้วยการใช้ขวดฆ่าเชื้อที่แพทย์จัดหามาให้
การเก็บตัวอย่างทำได้โดยการปัสสาวะเข้าไปในขวดโดยตรง พยายามอย่าจับที่ขอบของขวดขณะเก็บตัวอย่างเพราะอาจทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้
หากคุณไม่สามารถทำการเก็บตัวอย่างที่สะอาดได้ คุณสามารถเก็บตัวอย่างได้ด้วยการใช้แผ่นดูดซับที่รองไว้ในผ้าอ้อมของเด็กแทนก็ได้ ซึ่งตัวอย่างปัสสาวะจะถูกดูดออกจากแผ่นดูดซับด้วยเข็มฉีดยา
หากคุณทำการเก็บตัวอย่างปัสสาวะที่บ้านหรือที่สถานพยาบาลลำบาก จะมีการใช้หลอดพลาสติกที่เรียกว่าสายสวนท่อปัสสาวะสอดเข้าไปในท่อปัสสาวะเพื่อทำการดูดของเหลวออกมาแทน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การทดสอบเพิ่มเติม
กรณีส่วนมากแล้วจะมีการรักษาเริ่มขึ้นทันทีหลังเก็บตัวอย่างปัสสาวะโดยที่ไม่ต้องให้เด็กเข้ารับการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามก็อาจมีการทดสอบเพิ่มเติมหากว่า:
- เด็กมีอายุน้อยกว่าหกเดือน
- อาการของเด็กไม่ดีขึ้นหลังเริ่มการรักษาไปแล้ว 24-48 ชั่วโมง
- ลูกของคุณมีอาการที่ผิดปรกติต่าง ๆ เช่นปัสสาวะติดขัด ความดันโลหิตสูง หรือมีก้อนภายในหน้าท้องหรือกระเพาะปัสสาวะ
- ลูกของคุณประสบกับ UTI ซ้ำซาก
กรณีเหล่านี้แพทย์จะแนะนำให้คุณพาลูกไปรับการสแกนร่างกายเพื่อมองหาความผิดปรกติต่าง ๆ
การสแกน
มีเทคนิคสแกนร่างกายมากมายที่สามารถดำเนินการเพิ่มตรวจหาปัญหาภายในระบบทางเดินปัสสาวะของเด็กได้ ดังนี้:
- การสแกนอัลตราซาวด์: เป็นการใช้คลื่นเสียงที่ออกจากอุปกรณ์ที่ลูบไล้ไปตามผิวหนังของเด็กและแสดงภาพภายในออกมาบนหน้าจอ
- การสแกน dimercaptosuccinic acid (DMSA): เป็นการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีชนิดอ่อนที่เรียกว่า DMSA ที่จะแสดงออกมาบนอุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่ากล้องแกมม่า (gamma camera) เพื่อเก็บภาพไตของเด็ก หลังการสแกน DMSA จะไหลออกมาพร้อมกับปัสสาวะของเด็กโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างใด
- micturating cystourethrogram (MCUG): เป็นการใช้สายสวนท่อปัสสาวะเข้าไปและฉีดสารทึบรังสีที่สามารถแสดงออกมาบนฟิล์มเอกซเรย์ได้อย่างชัดเจนเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะก่อนที่แพทย์จะทำการถ่ายชุดภาพเอกซเรย์ เช่นเดียวกับสาร DMSA สารทึบรังสีที่ใช้ก็สามารถไหลออกมาพร้อมปัสสาวะเช่นกัน
ประเภทของเทคนิคสแกนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับกรณีของเด็กแต่ละคน ในบางกรณี การสแกนก็อาจดำเนินการหลังเด็กเริ่มมีอาการไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน
สาเหตุการเกิดภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก
UTI ในเด็กส่วนมากจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจากระบบย่อยอาหารเข้าสู่ท่อปัสสาวะ ซึ่งมีการลุกลามมากมายดังนี้:
ขณะที่เด็กเช็ดทวารและนำกระดาษชำระสกปรกไปสัมผัสกับอวัยวะเพศของตนเอง: มักจะเกิดเช่นนี้กับเด็กผู้หญิงได้ง่ายกว่าเด็กผู้ชายเพราะทวารของเด็กสาวจะอยู่ใกล้กับท่อปัสสาวะมากกว่า
เศษอุจจาระเข้าไปในท่อปัสสาวะขณะที่ทารกสวมผ้าอ้อมอยู่
และบ่อยครั้งที่ภาวะนี้เกิดขึ้นกับเด็กโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อีกทั้งเด็กบางคนจะมีความอ่อนไหวต่อ UTI มากกว่าเด็กอื่น เพราะปัญหาที่เกิดจากภาวะที่ไม่สามารถปัสสาวะให้หมดกระเพาะได้ เช่น:
ภาวะท้องผูก: ภาวะนี้อาจทำให้ส่วนของลำไส้เบ่งออกจนไปกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้ไม่สามารถถ่ายของเหลวได้ตามปกติ
dysfunctional elimination syndrome: ภาวะวัยเด็กที่พบได้ค่อนข้างบ่อย ที่ซึ่งเด็กจะทำการ “อั้น” ปัสสาวะแม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกอยากปัสสาวะก็ตาม
ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (vesicoureteral reflux): ภาวะที่พบไม่บ่อยที่ซึ่งปัสสาวะจะไหลกลับเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ สู่ท่อไตและไต ภาวะนี้เกิดขึ้นจากปัญหาที่ลิ้นของท่อปัสสาวะที่อยู่ระหว่างท่อกับกระเพาะปัสสาวะ
การรักษาภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก
UTI ในเด็กส่วนมากจะหายเมื่อเริ่มการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ 24 ถึง 48 ชั่วโมง และจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาระยะยาวใด ๆ
หลาย ๆ กรณี การรักษาจะต้องให้เด็กรับยาปฏิชีวนะชนิดทานแบบคอร์สที่บ้าน และเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ทารกที่อายุต่ำกว่าสามเดือนกับเด็กที่มีอาการรุนแรงจะต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่กี่วันเพื่อรับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด
1.การรักษาตัวที่บ้าน
หากลูกของคุณมีอายุมากกว่าสามเดือนขึ้นไป และคาดว่าไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บป่วยที่ร้ายแรงกว่า คุณสามารถรักษาพวกเขาได้เองที่บ้านด้วยยาปฏิชีวนะ
แพทย์จะแนะนำระยะเวลาการรักษาแตกต่างไปตามกรณีผู้ป่วย เช่น:
- UTI ส่วนล่าง: มักจะต้องใช้ยาติดกัน 3 วัน
- UTI ส่วนบน: มักจะต้องใช้ยาติดกัน 7 – 10 วัน
ลูกของคุณอาจประสบกับผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะบ้าง แต่ก็มักจะเป็นผลที่ไม่รุนแรงและควรจะหายไปหลังยุติการใช้ยา โดยมีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยดังนี้:
- รู้สึกคลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดท้อง
- ท้องร่วง
- ไม่อยากอาหาร
หากจำเป็น คุณสามารถใช้ยาพาราเซตตามอลเพื่อลดไข้และความไม่สบายเนื้อสบายตัวของเด็กได้
อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs - NSAID) อย่างอิบูโพรเฟนกับเด็กที่ป่วยเป็น UTI เพราะมีผลเสียต่อไต ส่วนยาแอสไพรินก็ไม่ควรใช้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี
หากลูกของคุณไม่สามารถทานยาเม็ดหรือแคปซูลได้ พวกเขาสามารถใช้ยาพาราเซตตามอลและปฏิชีวนะในรูปแบบของยาน้ำได้
ภาวะของลูกคุณควรจะดีขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมงนับตั้งแต่เริ่มการรักษา คุณดูแลให้พวกเขาได้รับยาปฏิชีวนะครบตามที่แพทย์กำหนดเพื่อป้องกันการกลับมาของภาวะติดเชื้อ
2.การรักษาตัวที่โรงพยาบาล
หากลูกของคุณมีอายุน้อยกว่าสามเดือน หรือคาดว่ามีภาวะทรุดลง แพทย์จะส่งพวกเขาไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อ แพทย์จะคาดว่าลูกของคุณมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยร้ายแรงขึ้นหากว่าไม่ได้รับการรักษาจากทางโรงพยาบาลเมื่อ:
- เด็กมีอาการไม่สู้ดี หรือมีภาวะขาดน้ำ หรือไม่สามารถทานยาเพราะมีอาการอาเจียนต่อเนื่อง
- มีอาการไม่ปรกติที่ชัดเจน เช่นปัสสาวะไหลติดขัด ความดันโลหิตสูง หรือมีก้อนภายในท้องหรือกระเพาะปัสสาวะ
- เด็กเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะที่ส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
กรณีเหล่านี้จำต้องให้ลูกของคุณพักที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองถึงสามวันเพื่อรับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด (intravenous antibiotics) และเช่นเดียวกับการรักษาตัวที่บ้าน เด็กควรจะมีอาการดีขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมง
การนัดหมายติดตามผล
เด็กที่ป่วย UTI ส่วนมากจะหายจากภาวะนี้ภายในหนึ่งหรือสองวัน และจะไม่ประสบกับปัญหาระยะยาว คุณควรกลับไปพบแพทย์เมื่ออาการของเด็กไม่มีสัญญาณว่าจะดีขึ้นหลังเริ่มการรักษา
หลาย ๆ กรณีคุณก็ไม่ต้องพาเด็กกลับไปพบแพทย์หากว่าพวกเขาฟื้นตัวได้ดี อย่างไรก็ตามแพทย์ก็แนะนำให้เด็กรับการสแกนระบบทางเดินปัสสาวะเพื่อตรวจหาต้นตอของการติดเชื้อที่อาจจะคงเหลืออยู่
สถานการณ์ที่แพทย์แนะนำให้มีการทดสอบเพิ่มเติมมีดังนี้:
- ลูกของคุณมีอายุน้อยกว่าหกเดือน
- อาการของเด็กไม่ดีขึ้นหลังเริ่มการรักษาไปแล้ว 24-48 ชั่วโมง
- เด็กมีอาการที่ไม่ปกติ เช่นปัสสาวะติดขัด ความดันโลหิตสูง หรือมีก้อนภายในหน้าท้องหรือกระเพาะปัสสาวะ
- ลูกของคุณประสบกับ UTI ซ้ำซาก
การป้องกันภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก
การป้องกัน UTI ในเด็กนั้นไม่อาจทำได้ แต่ก็มีหลายสิ่งที่คุณสามารถปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกของคุณจะติดเชื้อได้ ดังนี้:
- หากเป็นไปได้ ควรให้น้ำนมจากเต้าแก่ทารกในช่วงหกเดือนแรกหลังคลอดเพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของทารกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดท้องผูก
- สอนให้เด็กผู้หญิงเช็ดทวารจะหน้าไปหลังเพื่อลดความโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
- ดูแลให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ และเข้าห้องน้ำเป็นเวลา การที่ให้เด็กอั้นปัสสาวะไว้จะทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะง่ายขึ้น
- เลี่ยงการใช้กางเกงชั้นในที่ทอจากผ้าไนลอนหรือวัสดุสังเคราะห์ต่าง ๆ ที่อาจยิ่งเพิ่มจำนวนแบคทีเรีย ควรเป็นกางเกงชั้นในผ้าไหมที่หลวมสบายแทน
- เลี่ยงการใช้สบู่หรือฟองอาบน้ำผสมน้ำหอมเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ UTI ในเด็กขึ้น
- ดูแลให้พวกเขาดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเกิดท้องผูกได้ด้วย สังเกตได้จากสีของปัสสาวะเด็กควรจะมีสีซีดและใสในช่วงกลางวัน และควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ช่วยเด็กที่ประสบกับปัญหาท้องผูกเรื้อรัง
บางคนรู้สึกว่าการดื่มน้ำหรืออาหารเสริมจากแครนเบอร์รี่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะ UTI ลง แต่งานวิจัยระดับสูงหลายชิ้นก็ไม่ได้สรุปชัดเจนว่าแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์ลดโอกาสการเกิด UTI แต่อย่างใด
ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำซากในเด็ก
มีเด็กจำนวนน้อยที่ประสบกับ UTI ซ้ำซาก หากว่าเด็กเคยเป็น UTI มาก่อน สิ่งที่คุณควรทำคือการเฝ้าระวังและดูแลพวกเขาไม่ให้พวกเขาประสบกับอาการเดิม ควรไปแจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการที่เด็กประสบทันทีเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยยืนยันและเริ่มการรักษาให้ทันท่วงที
หากลูกของคุณมีปัญหาที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ UTI เช่นมีลิ้นท่อปัสสาวะที่ผิดปกติจนทำให้ของเหลวไหลย้อนทาง แพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะที่มีขนาดยาต่ำให้เด็กใช้ในระยะยาวเพื่อป้องกันภาวะติดเชื้อ