โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นโรคที่เกิดจากกระเปาะที่ยื่นออกจากผนังลำไส้ใหญ่นั้นเกิดการอักเสบและทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก มีไข้ และอาจทำให้เกิดเลือดออกทางทวารหนักได้ ในบางครั้งโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารเหลว แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือแม้กระทั่งการผ่าตัดในการรักษา ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการนัดผู้ป่วยมาผ่าตัดเพื่อทำการรักษาโรคนี้มากขึ้นถึง 25-30% ซึ่งงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA เมื่อปี 2014 นั้นรายงานว่าการรักษาดังกล่าวนั้นเป็นการรักษาที่เกินความจำเป็น
นักวิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับโรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบและแนวทางในการรักษาทั้งหมด 80 ชิ้น นักวิจัยพบว่าบางครั้งการให้ยาปฏิชีวนะและการผ่าตัดนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ในรายที่เป็นโรคนี้เรื้อรังหรือกลับเป็นซ้ำควรมีการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดมากกว่าเดิม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าแพทย์ไม่ควรรักษาโรคนี้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะหรือการผ่าตัดเลย ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง มีไข้ มีปริมาณเม็ดเลือดขาวสูง และตรวจร่างกายพบความผิดปกติอย่างชัดเจนก็จำเป็นที่จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าหากอาการดังกล่าวนั้นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับยา
การรักษาด้วยการผ่าตัดก็เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าหากผู้ป่วยเป็นโรคนี้ซ้ำ 2 ครั้งภายในเวลา 6 เดือนก็ย่อมแสดงว่ามีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดเพื่อการรักษา ดังนั้นการรักษาโรคนี้จึงจำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายบุคคลไป
โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบนั้นเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่เป็นภาวะที่เกิดตามหลังการมีถุงผนังลำไส้ใหญ่โป่งซึ่งเป็ฯภาวะที่พบได้บ่อยและมักไม่ทำให้เกิดอาการและไม่เป็นอันตราย ยกเว้นบางกลุ่มที่อาจเกิดการอักเสบหรือเลือดออกจากบริเวณที่โป่งพองออกมาได้ โดยงานวิจัยพบว่าเกิดขึ้นได้ประมาณ 4% ของเวลาทั้งหมด และมีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 10-25% ที่เกิดภาวะถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบนั้นประกอบด้วยอายุ โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 80 ปีถึง 70% เป็นโรคนี้ ปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยความอ้วน การไม่ออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารต่ำ
อย่างไรก็ตามก็ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสามารถสรุปได้ว่า การออกกำลังกาย การลดน้ำหนักและการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงนั้นจะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ในปัจจุบันเชื่อว่าเส้นใยอาหารนั้นมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของลำไส้ใหญ่ ทั้งช่วยลดอาการท้องผูก, ควบคุมระดับ cholesterol และทำให้อิ่มท้องได้นานขึ้นซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้
ผู้ใหญ่ควรรับประทานเส้นใยอาหารจากอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากวันละ 25-30 กรัม เช่นจากถั่ว ธัญพืช ผัก และผลไม้ หากคุณคิดว่าอาจจะรับประทานเส้นใยอาหารจากอาหารได้ไม่เพียงพอ ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม คุณควรค่อยๆ เริ่มรับประทานเส้นใยอาหารเหล่านี้เพิ่มขึ้นทีละน้อยเนื่องจากหากมีการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปนั้นอาจทำให้ท้องอืดได้ นอกจากเส้นใยอาหารแล้วนั้น น้ำตาลก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับโรคลำไส้แปรปรวนได้
การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากนั้นจะช่วยบรรเทาการที่ผนังกล้ามเนื้อภายในลำไส้ใหญ่นั้นเกิดการหนาตัวขึ้นและลดการเกิดอาการปวดท้องจากภาวะดังกล่าว รวมถึงทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
อาหารและเครื่องดื่มที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้และโรคลำไส้แปรปรวนมีอาการประกอบด้วย
- หน่อไม้ฝรั่ง
- บรอคโคลี่
- กะหล่ำปลี
- เชอร์รี่
- น้ำอัดลม
- อาหารและเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล (เช่นน้ำเชื่อมและน้ำผลไม้)
- ผลิตภัณฑ์จากนม
- ถั่ว
- ลูกพีช
- ลูกแพร์