อาการไอเกิดได้ทั้งการไอแห้งและไอแบบมีเสมหะ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับโรคหวัดธรรมดามากที่สุด แต่การไอก็อาจเป็นอาการแสดงของภาวะร้ายแรงได้ เช่น ภาวะหัวใจวาย โรคปอดบวม หรือเกิดจากการจับหืดเฉียบพลัน (exacerbation) ของโรคหืดหรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
อาการไอ เกิดจากอะไร?
ขั้นแรกจริงจำเป็นต้องถูกวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสาเหตุของอาการไอนั้นเกิดจากสาเหตุที่รุนแรง หรือเป็นเพียงการติดเชื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน (โรคหวัดธรรมดา) อาจเกิดจากจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ โรคกรดไหลย้อน การสูบบุหรี่ หรือประกอบอาชีพที่มีการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจก็ก่อให้เกิดอาการไอได้เช่นเดียวกัน
ยุค New Normal สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บคอ คันคอ ระคายคอ หรือมีเสมหะ เหนียวคอ มาดู 5 วิธี บรรเทาง่ายๆ ได้ผล อย่ารอให้เป็นหนัก
ยาสำหรับบรรเทาอาการไอ
สามารถแบ่งยาตามกลไกการออกฤทธิ์ได้ สามกลุ่ม คือ ยากลุ่มกดอาการไอ ยากลุ่มขับเสมหะ และยากลุ่มละลายเสมหะ
1. ยากลุ่มกดอาการไอ (antitussive)
ตัวยาในกลุ่มนี้คือ เดกซ์โตรมีทอแฟน (dextromethorphan) เป็นยากดอาการไอที่ไม่ใช่สารเสพติด มีความแรงในการกดการไอเทียบเท่ากันกับโคเดอีน มีข้อบ่งใช้สำหรับการไอชนิดไม่มีเสมหะและบรรเทาอาการไอชั่วคราวที่เกิดจากการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ไม่ใช้ยานี้เพื่อกดอาการไอ้ต่อเนื่องหรือการไอเรื้อรัง เช่น การไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ถุงลมโป่งพอง โรคหืด ตัวยามีทั้งรูปแบบยาเม็ดและยาอม สำหรับผู้ใหญ่ ไม่รับประทานยาในรูปแบบเม็ดเกิน 120 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่อมยาอมที่มีส่วนผสมของเดกซ์โตรมีทอแฟนเกิน 10 เม็ดต่อวัน ยาอีกตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์กดอาการไอ คือยาโคเดอีน (codeine) แต่ไม่สามารถจำหน่ายในร้านขายยาได้เนื่องจากเป็นสารเสพติดให้โทษประเภทที่ 3 เฉพาะสถานพยาบาลที่รับผู้ป่วยค้างคืนเท่านั้นจึงจะมีสิทธิในการจำหน่ายยาโคเดอีน
2. ยากลุ่มขับเสมหะ (expectorant)
ตัวยาในกลุ่มนี้ไม่มีผลการศึกษาทางคลินิกบ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการรักษาอาการไอ ยากลุ่มขับเสมหะมีกลไกลดการยึดเกาะและลดแรงตึงผิวของเสมหะ ทำให้เสมหะมีความข้นหนืดน้อยลง สามารถขับออกมาผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ง่ายขึ้น การทำให้ทางเดินหายใจโล่งคาดว่าอาจช่วยลดอาการไอได้ แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆเมื่อรับประทานยากลุ่มนี้เนื่องจากน้ำจะช่วยให้เสมหะมีความหนืดลดลง หรือาจใช้ยานี้ร่วมกับยาแก้ไอชนิดอื่น ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไกวเฟนิซิน (guaifenesin) มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการไอแห้งและไอแบบมีเสมหะใกล้เคียงกัน ไม่ใช้ยานี้เพื่อกดอาการไอ้ต่อเนื่องหรือการไอเรื้อรัง ขนาดยาที่ใช้ในผู้ใหญ่คือ 200 ถึง 400 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง และไม่เกินวันละ 2400 มิลลิกรัม มีการรายงานว่าต้องรับประทานอย่าน้อย 1200 มิลลิกรัมจริงจะเห็นผลในการบรรเทาอาการไอ
3. ยากลุ่มละลายเสมหะ (mucolytic)
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ที่เสมหะโดยลดความหนืดของเสมหะ และเพิ่มการทำงานของเซลล์ที่ช่วยโบกพัดเสมหะ ทำให้เสมหะขับออกได้ง่ายยิ่งขึ้น ยากลุ่มนี้ใช้สำหรับอาการไอแบบมีเสมหะ ยาในกลุ่มละลายเสมหะ ได้แก่ บรอมเฮกซีน ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ คือ 8 ถึง 16 มิลลิกรัม วันละสามครั้ง ยาเอมบรอกซอล (ambroxol) ขนาดรับประทานสำหรับผู้ใหญ่ คือ 60 ถึง 120 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งรับประทานวันละสองถึงสามครั้ง อะเซทิลซิสเทอีน (acetylcysteine) มีกลไกในการทำลายโครงสร้างของเสมหะทำให้เสมหะข้นเหนียวน้อยลง มีในรูปแบบของยาอมและยาแบบเม็ดฟู่
4. การบำบัดนอกเหนือจากการใช้ยา
การหลีกเลี่ยงการสัมผัส การสูดรับสารก่อการระคายเคืองเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการไอจากสารก่อการระคายเคือง การเลิกบุหรี่สามารถช่วยลดอาการไอได้เนื่องจากควันบุหรี่และสารพิษในบุหรี่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและส่งผลต่อการเกิดโรคในระยะยาว การดื่มน้ำในปริมาณมาก (มากกว่า 8 แก้วต่อวัน) มีผลดีทำให้ร่างกายมีปริมาณน้ำมากพอและอาจช่วยให้เมือกที่ติดในทางเดินหายใจมีความข้นน้อยลง สามารถขับออกมาได้ง่ายขึ้นซึ่งก็จะช่วยลดการระคายเคืองได้ การใช้สเปรย์หรือลูกอมสมุนไพรชะเอมเทศช่วยให้ชุ่มคอสามารถก็สามารถบรรเทาอาการไอได้เช่นเดียวกัน