กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ไบโอติน (Biotin)

เผยแพร่ครั้งแรก 27 ม.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 21 ก.พ. 2019 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ไบโอติน (Biotin) เป็นวิตามินละลายในน้ำชนิดหนึ่งที่พบได้ในแหล่งอาหารมากมาย เช่น ไข่ นม หรือกล้วย จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอนไซม์ในร่างกายที่ใช้ย่อยสลายสารบางประเภท เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และอื่นๆ
  • ผู้ที่มีภาวะขาดไบโอติน สามารถสังเกตุได้จากอาการเหล่านี้ ซึ่งได้แก่ ผมบาง ผิวหนังอักเสบ เกิดผื่นแดงรอบดวงตา จมูก และปาก มีอาการซึมเศร้า เหน็ดเหนื่อย เห็นภาพหลอน และแขนขาชา 
  • ผู้ที่มีภาวะขาดไบโอติน ควรรับประทานอาหารเสริมไบโอตินเป็นประจำ วันละ 10 มิลลิกรัม
  • ผู้คนนิยมรับประทานไบโอติน เพื่อรักษาปัญหาผมร่วง ผมบาง เล็บเปราะ หรืออาการเจ็บปลายประสาทจากเบาหวาน แต่ในปัจจุบันยังขาดหลักฐานยืนยันว่า ไบโอตินสามารถรักษาอาการเหล่านี้ได้จริงๆ 
  • หากคุณต้องการรับประทานไบโอติน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนว่า จำเป็นต้องรับประทานจริงๆ หรือไม่ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับปริมาณในการรับประทานที่เหมาะสม (ดูแพ็กเกจตรวจระดับวิตามินในร่างกายได้ที่นี่)

ไบโอติน (Biotin) คือวิตามินที่ละลายในน้ำ พบในอาหารมากมาย เช่น ไข่ นม หรือกล้วยในปริมาณน้อย โดยมากแล้วมีการใช้ไบโอตินจัดการกับผมร่วง เล็บเปราะ ความเสียหายที่เส้นประสาท และภาวะอื่น ๆ 

ไบโอตินออกฤทธิ์อย่างไร?

ไบโอตินเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอนไซม์ในร่างกายที่ใช้ย่อยสลายสารบางประเภท เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และอื่นๆ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีทดลองในการตรวจวัดหาภาวะระดับไบโอตินต่ำที่มีประสิทธิภาพ แต่สามารถสังเกตภาวะนี้ได้จากอาการบางอย่าง เช่น 

  • ผมบาง (ผมร่วงมาก) 
  • ผิวหนังอักเสบ 
  • เกิดผื่นแดงรอบดวงตา จมูก และปาก 
  • อาการอื่นๆ มีทั้งซึมเศร้า เหน็ดเหนื่อย เห็นภาพหลอน และแขนขาชา 
  • มีหลักฐานชี้ว่า เบาหวานส่งผลต่อระดับที่ลดลงของไบโอติน

วิธีใช้และประสิทธิภาพของไบโอติน

วิธีใช้และประสิทธิภาพของไบโอตินในบทความนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ภาวะที่สามารถใช้ไบโอตินรักษาได้ ภาวะที่ไม่สามารถใช้ไบโอตินรักษาได้ และภาวะที่ยังขาดหลักฐานว่าสามารถใช้ไบโอตินรักษาได้ ดังนี้ 

1. ภาวะที่อาจใช้ไบโอตินได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ภาวะขาดไบโอติน (Biotin deficiency) 

การรับประทานไบโอตินสามารถรักษาระดับไบโอตินในเลือดต่ำได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ระดับไบโอตินในเลือดตกลงมากเกินไปได้อีกด้วย 

การที่ร่างกายมีระดับไบโอตินต่ำจะทำให้ผมบาง ผิวหนังอักเสบ และผื่นขึ้นรอบดวงตา จมูก และปาก 

อาการอื่นๆ ของภาวะขาดไบโอติน คือ ซึมเศร้า หมดความสนใจโลก เห็นภาพหลอน และแขนขาชา 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

โดยผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่ต้องได้รับอาหารทางสายส่ง ผู้ที่ขาดสารอาหาร ผู้ที่มีน้ำหลักลดลงรวดเร็ว หรือผู้ที่มีภาวะสืบทอดทางพันธุกรรมสามารถประสบกับภาวะนี้ได้ อีกทั้งการสูบบุหรี่ยังส่งผลให้ระดับไบโอตินในเลือดตกลงได้ด้วย

2. ภาวะที่ไบโอตินอาจไม่สามารถรักษาได้ คือ ผื่นบนผิวหนังของทารก (Seborrheic dermatitis) 

การรับประทานทานไบโอตินไม่ได้ช่วยให้ทารกหายจากผื่นผิวหนัง

3. ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่าใช้ไบโอตินรักษาได้หรือไม่

  • ผมร่วง การรับประทานไบโอตินและสังกะสี (Zinc) ร่วมกับการทาครีมสเตียรอยด์ที่ผิวหนังอาจสามารถช่วยลดผมร่วงได้
  • ภาวะทางพันธุกรรมที่เรียกว่า Biotin-thiamine-responsive basal ganglia disease ผู้ป่วยภาวะนี้จะประสบกับปัญหากล้ามเนื้อและอารมณ์แปรปรวนบ่อยครั้ง โดยงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานไบโอตินกับ thiamine ไม่ได้ช่วยป้องกันอาการเหล่านี้ แต่การรับประทานไบโอตินร่วมกับยาจะช่วยลดระยะเวลาสงบของอาการแทน
  • เล็บมือเล็บเท้าเปราะ การรับประทานไบโอตินเป็นเวลานานหนึ่งปีอาจช่วยเพิ่มความหนาของเล็บมือและเล็บเท้าของผู้ที่มีปัญหาเล็บเปราะได้
  • เบาหวาน งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การรับประทานไอโบติกรวมกับโครเมียม (Chromium) อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ แต่การรับประทานเพียงไบโอตินเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผลแต่อย่างใด
  • อาการเจ็บปลายประสาทจากเบาหวาน (Diabetic nerve pain) งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การรับประทาน หรือฉีดไบโอตินอาจช่วยลดอาการปวดประสาทขาของผู้ป่วยเบาหวานได้
  • ตะคริวที่เกี่ยวกับการฟอกเลือด (Dialysis) ผู้ที่ต้องเข้ารับการฟอกเลือดมักจะมีอาการตะคริวง่ายกว่าปรกติ โดยงานวิจัยพบว่า การรับประทานไบโอตินจะช่วยลดอาการตะคริวในกลุ่มคนเหล่านี้ได้
  • โรคปลอกประสาทแข็ง (Multiple sclerosis) งานวิจัยพบว่า การรับประทานไบโอตินปริมาณสูงอาจช่วยด้านการมองเห็นและลดอาการอัมพฤกษ์บางส่วนของผู้ป่วยโรคปลอกประสาทแข็งได้

ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของไบโอติน

ไบโอตินถูกจัดว่า ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้คนส่วนมาก เมื่อรับประทาน หรือทาบนผิวหนังอย่างเหมาะสม 

โดยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประกอบด้วยไบโอติน 0.0001% ถึง 0.6% จะถูกนับว่าปลอดภัย อีกทั้งหากเป็นการฉีดเข้าร่างกาย ไบโอตินก็ถูกจัดว่าปลอดภัยเช่นกัน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ

  • สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร ไบโอตินสามารถใช้ได้ในปริมาณที่พอเหมาะระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • เด็ก สามารถทานไบโอตินตามความจำเป็นได้อย่างปลอดภัย
  • ภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถจัดการกับไบโอตินได้ (biotinidase deficiency) ผู้ที่ป่วยเป็นภาวะดังกล่าวควรต้องได้รับไบโอตินเสริม
  • ผู้ที่ต้องเข้ารับการฟอกไต อาจจำต้องได้รับไบโอตินเสริมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผู้ดูแล
  • ผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่อาจจะมีระดับไบโอตินในร่างกายต่ำ และอาจต้องได้อาหารเสริมไบโอติน
  • การทดสอบทางปฏิบัติการณ์ การรับประทานอาหารเสริมไบโอตินอาจรบกวนผลการทดสอบเลือดได้ ซึ่งอาจทำให้ผลการตรวจมีค่าต่ำหรือสูงจากความเป็นจริงซึ่งจะทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคพลาดได้
    ดังนั้นจึงควรแจ้งแพทย์หากคุณกำลังรับประทานอาหารเสริมไบโอตินอยู่ หากเป็นอาหารเสริมวิตามินรวมส่วนมากจะมีไบโอตินอยู่ปริมาณน้อย ซึ่งแม้จะค่อยส่งผลต่อผลการตรวจเลือดของคุณ แต่ก็ควรแจ้งแพทย์ก่อนเพื่อความมั่นใจ

การใช้ไบโอตินร่วมกับยาชนิดอื่น

ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ที่ไบโอตินมีต่อยาตัวอื่น

ปริมาณไบโอตินที่ควรรับประทานในกลุ่มคนต่างๆ

ปริมาณ หรือขนาดยาที่ใช้ดังต่อไปนี้ได้ถูกศึกษาจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์

ผู้ใหญ่

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลสารอาหารที่แนะนำไว้ในแต่ละวัน (Recommended dietary allowance: RDA) ของไบโอติน 

ส่วนปริมาณของไบโอตินที่เพียงพอในแต่ละวัน สำหรับผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี กับสตรีมีครรภ์ คือ 30 mcg  และ 35 mcg สำหรับสตรีที่ต้องให้นมบุตรคือ 35 mcg

แต่หากเป็นผู้ป่วยภาวะขาดไบโอติน ควรได้รับไบโอติน 10 mg ทุกวัน

เด็ก

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลสารอาหารที่แนะนำไว้ในแต่ละวันของไบโอติน 

ส่วนปริมาณของไบโอตินที่เพียงพอในแต่ละวัน สำหรับทารกอายุ 0-12 เดือนคือ 7 mcg สำหรับเด็กอายุ 4-8 ปีคือ 12 mcg สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปีคือ 20 mcg, และสำหรับวัยเจริญพันธุ์อายุ 14-18 ปีคือ 25 mcg

หากทารกเป็นภาวะขาดไบโอติน ควรได้รับไบโอติน 10 mg ทุกวัน

ในปัจจุบันยังไม่มีการวิจัยที่สามารถยืนยันได้ว่า ไบโอตินสามารถรักษาอาการผมร่วง เล็บเปราะ หรือเบาหวานได้ หากคุณต้องการรับประทานไบโอติน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนว่า จำเป็นต้องรับประทานจริงๆ หรือไม่ รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับปริมาณในการรับประทานที่เหมาะสม

ดูแพ็กเกจตรวจระดับวิตามินในร่างกาย เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


11 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Gratias Tom Mundakel, Biotin Deficiency https://emedicine.medscape.com/article/984803-overview), 22 October 2018
Biotin (Appearex) - Side Effects, Dosage, Interactions. Everyday Health. (https://www.everydayhealth.com/drugs/biotin)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ผู้อ่านไม่ควรเลือกใช้ยาเองจากการอ่านบทความ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพราะแต่ละท่านอาจมีสาเหตุของโรค โรคประจำตัว และประวัติการรักษาที่ต่างกัน ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)