ในขณะนี้มีวิธีการหลายวิธีที่จะช่วยลดโอกาสของการเกิดอาการของไมเกรนได้ ได้แก่ การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ และการใช้ยาเพื่อป้องกันไมเกรน เป็นต้น
การค้นหาสิ่งกระตุ้นไมเกรนและหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้มีอาการของไมเกรนก็คือการพยายามหาให้พบว่าอะไรคือปัจจัยกระตุ้นให้มีอาการ และให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นนั้นๆ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
คุณอาจพบว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการของไมเกรนภายหลังการรับประทานอาหารบ้างชนิด หรือขณะที่คุณกำลังเครียด ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีอาการของไมเกรน คุณต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังกล่าว
การจดบันทึกไดอารี่ของไมเกรนจะมีประโยชน์ในการช่วยหาได้ว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้นอาการและช่วยในการติดตามการใช้ยาว่ายาที่คุณกำลังใช้นั้นออกฤทธิ์ลดอาการของไมเกรนได้ดีหรือไม่อย่างไร
ในไดอารี่ที่จดบันทึก คุณควรจดบันทึกสิ่งต่อไปนี้:
- วันที่มีอาการ
- เวลาที่เริ่มมีอาการ
- มีอาการเตือนอะไรบ้าง
- อาการของไมเกรนที่คุณเป็น (มีอาการเตือนหรือไม่มีอาการเตือน)
- ยาอะไรที่คุณรับประทาน
- อาการหยุดลงเมื่อใด
ยาสำหรับป้องกันไมเกรน
มียาหลายตัวยาที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการของไมเกรน ยาเหล่านี้มักถูกใช้เมื่อคุณได้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแล้ว แต่ยังคงมีอาการของไมเกรนอยู่
คุณอาจได้รับยานี้จากแพทย์หากคุณมีอาการของไมเกรนในระดับรุนแรงมาก หรือมีอาการของไมเกรนบ่อยครั้ง
รายชื่อยาหลักๆ ที่ใช้ในการป้องกันไมเกรน มีรายละเอียดดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยาโทไปราเมท (topiramate)
ยาโทไปราเมท (topiramate) เป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันอาการชักในผู้ป่วยโรคลมชัก แต่ในปัจจุบันยานี้ถูกใช้กันมากขึ้นในการป้องกันไมเกรน ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุนว่ายานี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน ยานี้เป็นยาเม็ดและโดยทั่วไปจะรับประทานยานี้ทุกวัน
ยาโทไปราเมทต้องระวัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคไตและโรคตับ และยานี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หากรับประทานระหว่างการตั้งครรภ์ และยานี้ยังลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดด้วย ดังนั้นแพทย์จะแนะนำให้ผู้หญิงที่จำเป็นต้องรับประทานยานี้เลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีการอื่น
ผลข้างเคียงของยาโทไปราเมท ได้แก่:
- ความอยากอาหารลดลง
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ท้องผูก และท้องเสีย
- เวียนศีรษะ
- ง่วงนอน
- ปัญหาเรื่องการนอนหลับ
ยาโพรพาโนรอล (propranolol)
ยาโพรพาโนรอลเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการเจ็บแน่นหน้าอก (angina) และรักษาความดันโลหิตสูง แต่ก็พบว่ายานี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนด้วย ยานี้เป็นยาเม็ดและโดยทั่วไปจะรับประทานทุกวัน
ยาโพรพาโนรอลไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคหอบหืด, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease (COPD)) และโรคหัวใจบางชนิด และควรใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ผลข้างเคียงของยาโพรพาโนรอล ได้แก่:
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- มือเท้าเย็น
- รู้สึกเหมือนถูกเข็มตำ
- ปัญหาด้านการนอนหลับ
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
Botulinum toxin type A
ในเดือน มิถุนายน ค.ศ.2012 สถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ของประเทศอังกฤษ (National Institute for Health and Care Excellence (NICE)) ได้แนะนำการใช้ยาที่ชื่อว่า botulinum toxin type A เพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะในผู้ใหญ่บางรายที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนแบบเรื้อรัง โดยต้องใช้ยานี้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการปวดศีรษะ
ยา Botulinum toxin type A คือชนิดของสารพิษต่อระบบประสาท (neurotoxin) ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นอัมพาต แต่ยังไม่ทราบอย่างชัดเจนว่าเพราะอะไรยานี้จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาไมเกรน
สถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ของประเทศอังกฤษ แนะนำให้พิจารณาใช้ยานี้เป็นทางเลือกสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง (มีอาการปวดศีรษะอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน โดยต้องมีอย่างน้อย 8 ครั้งเป็นอาการปวดศีรษะไมเกรน) ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาป้องกันไมเกรนอย่างน้อย 3 ตัวยาขึ้นไป
ภายใต้แนวทางการรักษาโรคของสถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ของประเทศอังกฤษระบุว่า ยา botulinum toxin type A ควรให้โดยการฉีดรอบๆ ศีรษะและด้านหลังของลำคอจำนวน 31-39 ตำแหน่งการฉีด โดยให้ยาทุกๆ 12 สัปดาห์
การป้องกันไมเกรนที่สัมพันธ์กับประจำเดือน (menstrual-related migraines)
ไมเกรนที่สัมพันธ์กับประจำเดือนมักเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 2 วันก่อนมีประจำเดือน ไปจนถึง 3 วันประจำเดือนหยุด ซึ่งไมเกรนชนิดนี้สามารถคาดการณ์การเกิดอาการได้ และมีโอกาสที่จะป้องกันได้โดยการรักษาด้วยยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมน และการรักษาด้วยฮอร์โมน
การรักษาด้วยยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมน (Non-hormonal treatments)
การรักษาด้วยยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนที่แนะนำ ได้แก่:
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs))- คือยาแก้ปวดพื้นฐานที่ใช้บ่อย
- ยากลุ่มทริปแทน (triptans)- คือยาที่จะไปทำหน้าที่หดหลอดเลือดในสมองที่ขยายอยู่ ซึ่งการขยายของหลอดเลือดคือปัจจัยที่ทำให้มีอาการปวดศีรษะไมเกรน
ยาเหล่านี้เป็นยารูปแบบเม็ด โดยจะรับประทานวันละ 2-4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่เริ่มมีประจำเดือนหรือก่อนมีประจำเดือน 2 วัน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ประจำเดือนหยุด
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal treatments)
การรักษาด้วยฮอร์โมน ได้แก่:
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (combined hormonal contraceptives) เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแบบเม็ด, แผ่นแปะ หรือแบบห่วงคุมกำเนิด
- ยาคุมกำเนิดชนิดมีแต่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone-only contraceptives) เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดมีแต่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนชนิดเม็ด, ชนิดฝัง, หรือชนิดฉีด
- เอสโตรเจน (oestrogen) แบบแผ่นแปะ หรือแบบเจล ซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่ 3 วันก่อนมีประจำเดือนและใช้ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วัน
การใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิดไม่สามารถใช้ในการป้องกันไมเกรนที่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือนได้ในผู้หญิงที่มีอาการเตือนก่อนเกิดไมเกรน (aura) เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
การฝังเข็ม (Acupuncture)
หากการเลือกใช้ยาไม่เหมาะสมกับคุณ หรือไม่สามารถป้องกันไมเกรนได้ คุณอาจจำเป็นต้องพิจารณารักษาด้วยการฝังเข็ม
สถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ของประเทศอังกฤษ กล่าวว่าการฝังเข็ม 10 เข็มในช่วง 5-8 สัปดาห์ อาจเป็นประโยชน์ในการรักษาไมเกรน
https://www.nhsinform.scot/illnesses-and-conditions/brain-nerves-and-spinal-cord/migraine#prevention