กระแสการรักษาโรคด้วยสมุนไพรโบราณนั้น เป็นที่น่าสนใจ และกำลังกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้สมุนไพรบางชนิดที่เกือบสูญพันธุ์ไปแล้วได้กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง โดยเฉพาะโรคบางโรคที่ต้องอาศัยการรับประทานยาตลอดชีวิต เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยบางคนพยายามหาหนทางรักษาด้วยตนเอง
การใช้พืชสมุนไพรลดความดัน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่คาดหวังว่าจะสามารถช่วยลดการใช้ยาแผนปัจจุบันลงได้ เนื่องจากพืชสมุนไพรเหล่านี้หาง่ายและราคาถูกนั่นเอง ซึ่งจะมีสมุนไพรอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง
กะเพรา
ความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง โดยข้อมูลจาก Journal of Ayurveda and Integrative Medicine พบว่าสารสกัดจากใบกะเพรามีฤทธิ์ระงับประสาท และคลายความเครียดได้ จึงมีผลช่วยลดความดันได้ด้วย แต่ทั้งนี้ยังไม่พบการทดลองหรือผลวิจัยใดๆ ที่เป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องช่วยลดความดันโลหิตสูงของกะเพราได้โดยตรง
นักธรรมชาติบำบัดแนะนำให้ใช้ใบกะเพราในการดื่มเป็นชา โดยสามารถใช้ได้ทั้งใบสดและแห้ง และเนื่องจากใบกะเพราไม่มีคาเฟอีนจึงสามารถดื่มได้ทุกวัน
ข้อควรระวัง
- หากรับประทานกะเพราเป็นระยะเวลานานอาจจะเกิดอาการคลื่นไส้หรือท้องเสียได้
- สตรีตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกะเพราในปริมาณสูง เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า กะเพราสามารถยับยั้งการเกาะตัวของตัวอ่อนกับผนังมดลูกในสัตว์ทดลองได้
- น้ำมันหอมระเหยที่พบในใบกะเพรา มีฤทธิ์ชะลอการแข็งตัวของเลือดจึงทำให้เลือดหยุดไหลได้ยากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยาลดการแข็งตัวของเลือดจึงไม่ควรการบริโภคกะเพราในปริมาณสูงหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน
กระเทียม
เป็นสมุนไพรลดความดัน ที่มีสารสำคัญชื่อ “อัลซิลิน” มีสรรพคุณช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และขยายหลอดเลือดที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้
โดยผลวิจัยของการทดลองรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วยกระเทียมผง พบว่าค่าเฉลี่ยของความดันตัวบนหรือความดันในหลอดเลือดขณะหัวใจบีบตัว (systolic blood pressure) และความดันโลหิตตัวล่างหรือความดันในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว (diastolic blood pressure) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่ากระเทียมสามารถลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดจากสาเหตุจากความดันโลหิตสูงได้
ข้อควรระวัง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ผู้ที่รับประทานกระเทียมบ่อยๆ มักจะมีกลิ่นปากและกลิ่นตัว รู้สึกแสบร้อนในช่องปาก กลางอก มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องร่วงและเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกได้
- เกิดอาการแพ้ระคายเคืองที่ผิวหนัง เป็นผื่นคัน หน้าบวม และปากบวม
- คุณแม่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตจากกระเทียม
- ผู้ป่วยที่รับประทานยาลดอาการแข็งตัวของเลือดอยู่ ให้ระวังการรับประทานกระเทียมเพราะจะทำให้เลือดหยุดไหลได้ยากขึ้น
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดงเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่นิยมนำมาทำเป็นน้ำสมุนไพรดื่มเพื่อแก้กระหาย สารสําคัญของกระเจี๊ยบแดง คือ แอนโธไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งมีส่วนช่วยในการทํางานและสร้างความยืดหยุ่นเพิ่มความแข็งแรงแก่หลอดเลือด จึงเหมาะสําหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
จากการศึกษาวิจัยพบว่า การดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตตัวล่างลงได้ร้อยละ 7.2 ถึงร้อยละ 13 และผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกพบว่า การใช้กระเจี๊ยบแดงแห้ง ขนาด 2 - 10 กรัม/วัน ต้มเป็นน้ำดื่ม หรือรับประทานในรูปของยาเม็ดกระเจี๊ยบแดง ขนาด 450 มก./วัน (มีสารแอนโทไซยานินอย่างน้อย 250 มก.) สามารถลดความดันโลหิตตัวบนได้
ข้อควรระวัง
- กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาระบาย จึงควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะและไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะอาจทำให้ท้องเสียได้
- กระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงควรระวังเมื่อรับประทานร่วมกับยาขับปัสสาวะเพราะจะไปเสริมฤทธิ์การขับปัสสาวะให้มากขึ้นอาจจะเป็นอันตรายได้
- กระเจี๊ยบแดงลดการดูดซึมของยาแก้ปวดพาราเซตามอล จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงร่วมกับการรับประทานยา
- กระเจี๊ยบแดงมีโพแทสเซียมสูง จึงควรระวังในการรับประทานสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคไตหรือมีความผิดปกติของไต
ขิง
ขิงในส่วนของเหง้ามีรสเผ็ดร้อน สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ ซึ่งมีผลช่วยลดความดันโลหิตเหมือนกับการรับประทานยาลดความดัน จึงนิยมนำขิงมาทำอาหารทั้งคาวและหวานรวมทั้งนำมาสกัดเป็นอาหารเสริม เพื่อผลิตเป็นยารักษาโรคความดัน
การรับประทานขิงเพื่อลดความดันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการใช้เหง้าขิงแก่สดมาคั้นน้ำให้ได้ครึ่งถ้วยต้มกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง อาจเติมเกลือหรือมะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติได้ หรือใช้ขิงผง 1 - 2 ช้อนชา ชงน้ำร้อนดื่มบ่อยๆ หรือ ใช้ขิงสดเอามาฝานต้มกับน้ำรับประทานก็ได้เช่นเดียวกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ข้อควรระวัง
- ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียงแก่ร่างกาย เช่น รู้สึกแสบร้อนท้องและกลางอก อึดอัด ไม่สบายตัว และเสี่ยงกับภาวะเลือดออกได้
- ขิงมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด หากรับประทานนานๆ อาจจะเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป
- คุณแม่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ หากอยู่ในระหว่างให้นมบุตรก็ควรรับประทานน้อยๆ เพื่อความปลอดภัย
- ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดีให้ระมัดระวังการรับประทานขิง เพราะขิงมีฤทธิ์เพิ่มการหลั่งของน้ำดี ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องได้หากเกิดการอุดตันของท่อน้ำดี
- ผู้ป่วยที่รับประทานยาลดการแข็งตัวของเลือดอยู่ ให้ระวังการรับประทานขิง เพราะอาจทำให้เลือดหยุดไหลได้ยากขึ้น
วิธีการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ถ้าพบว่าความดันโลหิตมีค่าสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท แพทย์จะให้ยารับประทานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตัวผู้ป่วยจะต้องปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อย่างเช่น ต้องจำกัดอาหารไม่เค็มเกินไป ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ไม่เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ ส่วนการใช้ยาสมุนไพรจำเป็นต้องไตร่ตรองถึงผลดีผลเสียที่จะตามมาก่อนตัดสินใจรักษา
เราจะเห็นได้ว่าสมุนไพรที่สามารถช่วยลดความดันโลหิตสูงได้นั้น มักเป็นพืชผักสวนครัวที่นิยมนำมารับประทานเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งสรรพคุณของพืชสมุนไพรต่างๆ เหล่านี้บางชนิดมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับ ในขณะที่บางชนิดอาจยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจน แต่เป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมและปฏิบัติสืบต่อกันมา รวมถึงเป็นข้อมูลการรักษาจากการแพทย์ทางเลือกในสาขาต่างๆ
ดังนั้น หากต้องการรักษาด้วยสมุนไพรร่วมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญด้านการใช้สมุนไพร และอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์อย่างต่อเนื่องจึงจะปลอดภัยที่สุด