ไดโคลเฟนาไมด์ (Diclophenamide) เป็นยาในกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide) ที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์คาร์บอนิกแอนไฮเดรส (Carbonic anhydrase inhibitor; เอนไซม์ที่เปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ เป็นไบคาร์บอเนตไอออน และกรดคาร์บอนิก) มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาภาวะอัมพาตเป็นระยะจากโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemic periodic paralysis) หรือโพแทสเซียมในเลือดสูงเกิน (Hyperkalemic periodic paralysis) โดยโรคดังกล่าวมีสาเหตุจากการทำงานของช่องไอออนที่ผิดปกติบนเซลล์ ทำให้การแลกเปลี่ยนไอออนผิดปกติ ส่งผลไปสู่การส่งสัญญาณของระบบประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยพบร่วมกับระดับของโพแทสเซียมที่ผิดปกติ และอาการจะหายไปเมื่อระดับโพแทสเซียมเข้าสู่ระดับปกติ อาการอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรังได้ นอกจากนี้แล้วยายังมีข้อบ่งใช้ในการรักษาต้อหินมุมเปิดเช่นกัน เนื่องจากกลไกการออกฤทธิ์ที่สามารถลดระดับความดันในลูกตาได้
กลไกการออกฤทธิ์ของยาในการรักษาภาวะอัมพาตเป็นระยะจากโพแทสเซียมในเลือดผิดปกตินั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สำหรับการรักษาโรคต้อหินมีหลักฐานสนับสนุนว่า ยากลุ่มต้านการทำงานของเอนไซม์คาร์บอนิกแอนไฮเดรส ทำงานโดยลดการหลั่งของน้ำในช่องลูกตา (Aqueous humor)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยาไดโคลเฟนาไมด์ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้ดังกล่าว และมีวางจำหน่ายในต่างประเทศโดยใช้ชื่อการค้า Keveyis® ในรูปแบบยาเม็ด ขนาด 50 มิลลิกรัม สำหรับประเทศไทยยังไม่มีตัวยาไดโคลเฟนาไมด์วางจำหน่ายในท้องตลาด
ข้อบ่งใช้ของยา Dichlorphenamide
- รักษาภาวะอัมพาตเป็นระยะจากโพแทสเซียมในเลือดผิดปกติ
- โรคต้อหินมุมเปิด
ขนาดและวิธีการใช้ยา Dichlorphenamide
- ข้อบ่งใช้สำหรับรักษาภาวะอัมพาตเป็นระยะจากโพแทสเซียมในเลือดต่ำหรือสูงเกิน ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ยาในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน ขนาดเริ่มต้น 50 มิลลิกรัม รับประทานวันละ 2 ครั้ง จากนั้นให้ปรับขนาดยาตามผลการรักษาและการตอบสนองของผู้ป่วยต่อยาโดยให้ติดตามอาการทุกสัปดาห์ (หรืออาจน้อยกว่า 1 สัปดาห์หากยังพบว่าผู้ป่วยแสดงอาการของโรคอยู่) ขนาดการใช้ยาสูงสุด คือ 200 มิลลิกรัม โดยหลังจากอาการของผู้ป่วยเริ่มคงที่หลังให้ยา ให้ประเมินอาการอีกทุกๆ 2 เดือน
- ข้อบ่งใช้สำหรับรักษาต้อหินมุมเปิด ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ยาในรูปแบบเม็ดรับประทาน ขนาดยาเริ่มต้น 100 – 200 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น ปรับขนาดยาระยะคงการรักษาเป็น 25-50 มิลลิกรัม วันละ 3 หรือ 4 ครั้ง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา Dichlorphenamide
ผลข้างเคียงของการใช้ยาไดคลอเฟนาไมด์ ได้แก่
- ท้องผูก
- ภาวะความผิดปกติของการรับประทานอาหารโดยทำให้อยากรับประทานอาหารน้อยลง (anorexia)
- คลื่นไส้ อาเจียน
- น้ำหนักตัวลดลง
- ปัสสาวะบ่อย
- นิ่วในไต
- ปวดศีรษะ
- อ่อนแรง
- ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- ง่วงซึม ซึมเศร้า
- สับสน มึนงง
- รู้สึกเหมือนมีของแหลมทิ่มบริเวณมือ เท้า ลิ้น (paresthesia) จากการกดทับของระบบประสาท
ข้อควรระวังของการใช้ยา Dichlorphenamide
- ยาถูกจัดอยู่ในกลุ่ม category B ตามดัชนีความปลอดภัยการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnancy Safety Index) ยาค่อนข้างมีควรปลอดภัยกับทารกในครรภ์
- ยังไม่มีข้อมูลการใช้ยานี้ในเด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร จึงควรพิจารณาใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่าจะเกิดประโยชน์จากการใช้ยามากกว่าความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจได้รับ
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา หรือมีการแพ้ยาในกลุ่มซัลโฟนาไมด์
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินหายใจระดับรุนแรง
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะตับบกพร่อง
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ในขนาดสูง เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ภาวะบกพร่องของพฤติกรรมการกิน (Anorexia) หายใจเร็ว ซึม และอาการโคม่า ซึ่งอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
- ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia)
- ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดจากกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic acidosis)
- ยานี้อาจทำให้ระดับของโพแทเซียมในกระแสเลือดต่ำ เมื่อใช้ไดคอลเฟนาไมด์ร่วมกันกับยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide) ยาระบาย (Laxative) ยาต้านเชื้อรา ยากลุ่มเพนนิซิลลิน (Penicillin) และทีโอฟิลลีน (Theophylline)
- ควรมีการติดตามระดับโพแทสเซียมและไบคาร์บอเนตในผู้ป่วยเป็นระยะ ระหว่างที่ใช้ยานี้ในการรักษา