แปัจจุบัน ยาสมุนไพรถือว่าได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบันของกระทรวงสาธาณสุข ที่ส่งเสริมให้จ่ายยาสมุนไพรในโรงพยาบาลเป็นลำดับแรก (First Line Drug) ทำให้มีการใช้สมุนไพรบรรเทาอาการเบื้องต้นกันมากขึ้นตามครัวเรือน
ความหมายของยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพร
ความแตกต่างระหว่างยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรคือ ยาแผนปัจจุบันจะใช้สารอินทรีย์เคมีหรืออนินทรีย์เคมี ซึ่งอาจจะเป็นสารเดี่ยวหรือสารผสมที่อยู่ในลักษณะพร้อมที่จะนำมาปรุงแต่ง เตรียมหรือผสมเป็นยาสำเร็จรูป แต่ยาสมุนไพรเป็นยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ ซึ่งมิได้ปรุงหรือแปรสภาพ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ทั้งยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรที่ให้คำนิยามว่าเป็นยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณแบบ “ยาบรรจุเสร็จ” คือ ยาที่ผลิตขึ้นรูปตามกระบวนการทางเภสัชกรรม บรรจุในภาชนะหรือหีบห่อที่มีฉลากครบถ้วน ทั้งนี้อาจจะเป็นยาสามัญประจำบ้านหรือไม่ก็ได้ ตามประกาศของรัฐมนตรี
เมื่อรับประทานยาเข้าไปแล้ว เกิดอะไรกับร่างกายเราบ้าง?
หลังจากรับประทานยา จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของอวัยวะส่วนต่างๆ เกี่ยวข้องตั้งแต่การเคลื่อนที่ของยาจากจุดที่เข้าสู่ร่างกายไปยังอวัยวะภายใน ตำแหน่งที่ยาออกฤทธิ์ จนกระทั่งการขับออกจากร่างกาย
เริ่มตั้งแต่การดูดซึมจากบริเวณที่ให้ยา จนกระทั่งเข้าสู่เส้นเลือด มีได้หลายวิธี เช่น การฉีกเข้าเส้นเลือดดำ การทายาภายนอก การให้ยาทางทวารหนัก หรือการให้ยาทางปากซึ่งเป็นวิธีการใช้ยามากที่สุด
โดยส่วนใหญ่แล้ว ยาจะดูดซึมมากที่ลำไส้เล็ก จากนั้นจะเกิดการกระจายตัวของยาไปยังตำแหน่งที่ยาออกฤทธิ์ ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลคือ การไหลเวียนของเลือด หากมีการไหลเวียนที่ระบบทางเดินอาหารดี ยาก็จะดูดซึมได้ดีไปด้วย กระบวนการถัดมาคือการเปลี่ยนแปลงยา นั่นคือกระบวนการออกฤทธิ์ เปลี่ยนแปลงลักษณะทางเคมีของโมเลกุลยา และเตรียมที่จะขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระ และทางการหายใจนั่นเอง
รับประทานยาสมุนไพรอย่างไรให้ปลอดภัย
- ถ้ามียาประจำตัวเป็นยาแผนปัจจุบันอยู่แล้ว และต้องการรับประทานยาสมุนไพรเพิ่ม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- ก่อนและหลังการผ่าตัด ควรปรึกษาการใช้ยาสมุนไพรจากแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรบางชนิดมีฤทธิ์ต่อการแข็งตัวของเลือด หรือทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย
- หากไม่เคยรับประทานสมุนไพรมาก่อน ควรรับประทานครั้งละน้อยๆ ป้องกันอาการแพ้สมุนไพร และหากรับประทานยาสมุนไพรไปแล้วเกิดอาการแพ้เป็นผื่น หายใจไม่ออก ปากชาลิ้นชา หรืออาการอื่นๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ศึกษาข้อห้ามข้อควรระวัง วันหมดอายุ และขนาดรับประทานยาตามฉลากอย่างเคร่งครัดทุกครั้ง หากยามีสี กลิ่น หรือรสชาติเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ควรรับประทาน และควรทิ้งยาทันที
- ยาทุกชนิดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่ควรรับประทานในปริมาณมาก และไม่ควรรับประทานเป็นเวลานาน แม้แต่ยาสมุนไพรก็สามารถสะสมและก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายได้เช่นกัน และหากอาการดีขึ้นสามารถหยุดยาได้ ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่อง
- สตรีตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรไม่ควรใช้ยาสมุนไพรโดยไม่จำเป็น เนื่องจากสารสำคัญบางชนิดในสมุนไพรสามารถผ่านทางรก หรือขับออกมาพร้อมน้ำนม ทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกได้
- ควรเลือกซื้อยาสมุนไพรที่ได้มาตรฐานการผลิต มีเลขทะเบียนยา ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เท่านั้น
ยาสมุนไพรตัวใดบ้าง ห้ามกินคู่กับยาแผนปัจจุบัน?
เป้าหมายของการรับประทานยาคงไม่พ้นเหตุผลเพื่อการรักษา เพิ่มภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่การรับประทานยาที่มีสรรพคุณคล้ายกันหรือรับประทานยาหลายชนิดร่วมกันนั้นเป็นการใช้ยาอย่างพร่ำเพื่อ และอาจทำให้ยาตีกัน เรียกง่ายๆ ว่าอาจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อร่างกาย หรืออาจส่งผลต่อการรักษาให้ดีขึ้นก็ได้
มีรายงานการเกิดปฏิกิริยาของสมุนไพรกับยาแผนปัจจุบันบางชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้
- กระเทียม ขิง กับยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด (กลุ่มวาร์ฟาริน: Warfarin)
เนื่องจากสารสำคัญของสมุนไพร 2 ตัวนี้ มีฤทธิ์ช่วยไม่ให้เลือดแข็งตัว เมื่อรับประทานคู่กับยาแผนปัจจุบันชนิดดังกล่าว อาจทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดได้ - ชะเอม กับยาต้านการอักเสบชนิดสเตียรอยด์ (Prednisolone)
ชะเอมเป็นสมุนไพรที่พบมากในกลุ่มยาแก้ไอ มีสารออกฤทธิ์ที่ชื่อว่าไกลเซอร์ไรซิน (Glycyrrhizin) รสหวาน ช่วยให้ชุ่มคอ ขับเสมหะ มีอยู่ในกลุ่มยาหอมและกลุ่มยาที่ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แต่ถ้ารับประทานคู่กับยาต้านการอักเสบชนิดสเตียรอยด์จะยิ่งเพิ่มผลข้างเคียงของยา คือกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย และอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ - มะขามแขก กับยากลุ่มขยายหลอดลม (Theophylline) ยารักษาโรคหัวใจ (Digoxin) และยาขับปัสสาวะ
มะขามแขกมีสารสำคัญที่ชื่อว่าเซนโนไซด์ (Sennoside) ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ บรรเทาอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังช่วยขับโพแทสเซียมในร่างกาย แต่หากใช้มะขามแขกเป็นเวลานานจะส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ซึ่งยาแผนปัจจุบันทั้ง 3 กลุ่มก็มีกลไกดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้นหากรับประทานร่วมกันจะทำให้ร่างกายเกิดอาการโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เพิ่มผลข้างเคียงของยา ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ปวดกล้ามเนื้อ และเป็นตะคริวได้ - สะระแหน่ กับยาลดความดันโลหิตชนิดต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers)
จากการศึกษาพบว่า น้ำมันหอมระเหยจากใบสะระแหน่มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตได้ ดังนั้นหากรับประทานคู่กับยาลดความดันโลหิตอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป จนเกิดอันตรายแก่ร่างกายได้
ก่อนรับประทานยาสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบันอื่นๆ ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนและปรึกษาแพทย์เช่นกัน เพราะยังมีกลไกการเกิดปฏิกริยาระหว่างยาสมุนไพรและยาแผนปัจจุบันอีกมากที่ยังไม่มีการรายงานชัดเจน