ประจำเดือนมามากควรทำอย่างไรค่ะไปหาหมอหมอให้ยาปรับประจำเดือนมากินก็เป็นเหมือนเดิมค่ะ

สวัสดีค่ะ อาการประจำเดือนมามาก หมายถึง ประจำเดือนที่
1)ใช้ผ้าอนามัยมากกว่า 1 แผ่นใหญ่ต่อชั่วโมง
2)ประจำเดือนมามากกว่า 10 วันค่ะ
3)มีอาการที่เกิดขึ้นจากภาวะมีเลือดออก เช่น หน้ามืด เป็นลม ซีดลง ต้องเติมเลือด เป็นต้น
>>ซึ่งเมื่อคนไข้ มีประจำเดือนมามาก เป็นสิ่งที่ต้อวหาสาเหตุค่ะ ซึ่งสาเหตุมีหลากหลาย ได้แก่
1.สาเหตุที่ระบบสืบพันธุ์ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ก้อนเนื้อในมดลูก เป็นต้น
การรักษา คือ การหนุดประจำเดือน โดยใช้ยาฮอร์โมน หลังจากนั้น ต้องทานยาปรับฮอร์โทนเรื่อยๆ จนกว่า จะพบสาเหตุ หรือ สาเหตุที่เกิดฝ่อ หรือ หายไปจากการใช้ยาค่ะ ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน

2.ฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ไทรอยด์ ฮอร์โมนเพศ

3.ระบบการแข็งตัวของเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ การทำงานของเกล็ดเลือดผิดปรกติ เป็นต้น

ดังนั้น คนไข้ หากคนไข้ ทานยาไปแล้ว ประจำเดือนยังมามาก หรือ มีอาการหน้าทืด เป็นบม ใจสั่นขณะมีประจำเดือน แนะนำให้ไปพบแพทย์ซ้ำ เพื่อตรวจร่างกายและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมค่ะ

การเกิด ถุงน้ำที่รังไข่ในหญิงวัยเจริญพันธฺ มีได้ทั้งแบบที่ปกติและแบบที่ผิดปกติค่ะ
1 แบบปกติ ที่สามารถหายไปได้เอง และมักเกิดขึ้นตามรอบเดือน ตัวอย่างเช่น follicular cyst หรือ corpus luteum cyst เป็นถุงน้ำรังไข่. ที่เกิดขึ้นจากการตกไข่ของผู้หญิงค่ะ เกิดภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจน ถุงน้ำรังไข่เหล่านี้ ไม่มีอันตราย ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติค่ะ แต่ถ้ามีขนาดใหญ่มากๆ อาจทำให้เกิดอาการได้ เช่น ปวดท้องน้อย ท้องอืด เป็นต้น

**ซึ่งคุณหมอ น่าจะ ได้ตรวจเบื้องต้นแบ้วนึกถึงถุงน้ำนังไข่ชนิดปกตินี้ จึงให้ยาฮอร์โมนมา เพื่อปรับฮอร์โมน ให้ถุงน้ำนั้นฝ่อลงค่ะ ซึ่งอาจใช้เวลาช้าเร็วแต่บะคนไม่เหมือนกันค่ะ
**คนไข้ ยังมีโอกาสมีบุตรได้ค่ะ เมื่อถุงน้ำรังไข่ฝ่อลง คุณหมออาจพิจารณาหยุดยาค่ะ

2. ถุงน้ำรังไข่ที่ผิดปกติ สิ่งที่ต้องสงสัยและควรไปพบแพทย์ซ้ำคือ อาการค่ะ ได้แก่ อาการปวดท้องน้อยรุนแรงเฉียบพลัน หรือ อาการไข้ ประจำเดือนมาผิดปกติ ตกขาวผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ตัวอย่างถุงน้ำเหล่านี้ เช่น dermoid cyst หรือ teratoma , cystadenoma ,endometrioma เป็นต้น ซึ่งถุงน้ำเหลา่นี้ หากมีขนาดใหญ่ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบีดขั้งของรังไข่ (Ovarian twisting ) ทำให้มีอาการปวดท้องอย่างมาก หรือบางชนิด อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ค่ะ

ข้อแนะนำคือ แนะนำให้ตรวจภายในประจำปีทุกปี จะมีประโยชน์ทั้งในแง่ การตรวจมะเร็งปากมดลูก รวมถึงการดูขนาดของถุงน้ำรังไข่ของคนไข้ด้วยค่ะ