7 อาการปวดที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น

เผยแพร่ครั้งแรก 21 พ.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
7 อาการปวดที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น

คุณมีอาการปวดตามร่างกายหรือไม่? ถ้าคำตอบคือใช่ เราก็อยากบอกว่าไม่ใช่แค่คุณหรอกค่ะที่เจอปัญหานี้ เพราะมีชาวอเมริกันประมาณ 100 ล้านคน ที่ประสบอาการปวดเรื้อรัง และมีคนหลักล้านที่มีอาการปวดระยะสั้น อย่างไรก็ตาม อาการปวดบางชนิดสามารถพบได้ทั่วไปในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งการรู้ว่ามีอาการปวดประเภทใดบ้างจะช่วยให้คุณเตรียมรับมือกับมันได้ อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นตัวการ หรือการบาดเจ็บตั้งแต่ต้น สำหรับชนิดของอาการปวดที่คุณสามารถประสบเมื่ออายุมากขึ้นมีดังนี้

1. ปวดหลังส่วนล่าง

การปวดหลังเรื้อรังประเภทนี้พบได้ทั่วไปในชาวอเมริกัน หากคุณมีอายุน้อยกว่า 50 ปี และไม่เคยบาดเจ็บที่หลัง อาการปวดหลังมีแนวโน้มเกิดจากการนั่งยืดตัวเป็นเวลานาน ซึ่งทำให้เกิดแรงกดที่หมอนรองกระดูกสันหลัง ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะปวดหลังจากโรคข้ออักเสบ

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ยุค New Normal สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ใจมากยิ่งขึ้น

ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บคอ คันคอ ระคายคอ หรือมีเสมหะ เหนียวคอ มาดู 5 วิธี บรรเทาง่ายๆ ได้ผล อย่ารอให้เป็นหนัก

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ พบได้ในคนทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะอายุ 30-40 ปี

วิธีบรรเทาอาการปวด แนะนำให้ใช้การออกกำลังกายแบบ Strength-training และคาร์ดิโอ สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ เพราะมันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และช่วยสร้างกล้ามเนื้อที่กึ่งกลางของร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยพยุงไขสันหลัง นอกจากนี้การทำกายภาพบำบัด และการทานยาอย่างอะซีทามิโนเฟนและไอบูโพรเฟน ก็อาจช่วยบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้บางคนพบว่าการใช้แผ่นประคบร้อนก็สามารถช่วยคลายปวดได้เช่นกัน

2. ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะแบบธรรมดาและไมเกรน ถือเป็นชนิดของอาการปวดเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปเป็นอันดับสอง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ฟันธงว่าสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร แต่คาดว่ามันถูกกระตุ้นโดยบางสิ่ง เช่น ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ภาวะขาดน้ำ ประจำเดือน ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และอาหารบางชนิดอย่างช็อกโกแลต

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ 20-50 ปี

วิธีบรรเทาอาการปวดนั้น หากอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นที่หน้าผากหรือขมับ มันก็สามารถบ่งบอกได้ถึงการเป็นโรคปวดศีรษะที่เกิดจากความเครียด การนวดบริเวณที่ปวดหรือทาครีมเมนทอลที่หน้าผากหรือฐานของคอ ก็อาจช่วยบรรเทาอาการได้

ในขณะที่การกินยาแก้ปวดอย่างอะซีทามิโนเฟน ไอบูโพรเฟน หรือยารักษาโรคไมเกรนที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน อะเซทามีโนเฟน หรือแอสไพริน ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้คุณไม่ควรทานมากกว่า 3 วัน โดยไม่ปรึกษาแพทย์

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

3. โรคข้อเสื่อม

ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่มีหน้าที่ปกป้องข้อต่อและกระดูกเสื่อมสภาพ ทำให้เรารู้สึกปวดบริเวณมือ หัวเข่า และสะโพก ทั้งนี้โรคข้อเข่าเสื่อมมักเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอายุ การบาดเจ็บ หรือการสึกหรอที่เกิดจากการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมอื่นๆ

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ 60-70 ปี ซึ่งผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ประมาณ 30% เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

วิธีบรรเทาอาการปวดคือ หมั่นออกกำลังกาย เพราะมันช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ซึ่งสามารถทำให้ข้อต่อมีสุขภาพดี ลดอาการปวด และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อ นอกจากนี้การประคบร้อนที่ข้อต่อ การทานยาหรือใช้ยาทา ก็พอจะช่วยบรรเทาความปวดได้เช่นกัน

4. โรคเอ็นอักเสบ

อาการปวดที่เหมือนกับเกิดขึ้นในหรือรอบๆ ข้อต่อ มักเป็นสัญญาณของโรคเอ็นอักเสบ และยิ่งเราเคลื่อนไหวมากเท่าไร เราก็จะยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ดี โรคดังกล่าวมักเกิดจากการทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวท่าเดิมซ้ำๆ อย่างการเล่นกอล์ฟและการขุดดิน

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ อายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น เส้นเอ็นของคนเราจะมีความยืดหยุ่นน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

วิธีบรรเทาอาการปวด ให้หยุดพักจากกิจกรรมที่ทำ และให้คุณใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เจ็บ แล้วห่อด้วยผ้าพันแผล จากนั้นให้ค้ำบริเวณที่มีปัญหา โดยอาจวางขาบนหมอน และกินยาต้านการอักเสบอย่างไอบูโพรเฟนหรือนาพรอกเซน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

5. ปวดท้องน้อย

ผู้หญิง 1 ใน 7 ที่มีอายุระหว่าง 18-50 ปี มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยสามารถรู้สึกเจ็บแปลบ หรือเจ็บแบบตื้อๆ หากอาการปวดไม่ได้เกิดจากประจำเดือน มันก็อาจเป็นผลจากโรคอื่นๆ เช่น โรคเยื่อบุเจริญเติบโตผิดที่ หรือโรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นคือ 18-50 ปี

วิธีบรรเทาอาการปวด ให้กินยาแก้ปวดที่ซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ แต่หากมันเกิดขึ้นมากกว่า 3-4 วัน คุณก็ควรไปพบแพทย์ สำหรับการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยอาจใช้วิธีกายภาพบำบัด ทายยาแก้ปวดที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ หรือทานยาคลายกล้ามเนื้อ

6. โรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

โรคนี้เกิดจากการที่เส้นประสาทที่วิ่งจากแขนมายังฝ่ามือถูกกดหรือบีบ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดนิ้วมือและข้อมือ ไร้ความรู้สึก หรือเป็นเหน็บ อย่างไรก็ตาม โรคนี้มักเกิดจากการเคลื่อนไหวซ้ำๆ หลายครั้งอย่างการพิมพ์หรือการใช้เครื่องจักร นอกจากนี้การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว โรคข้ออักเสบ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับวัยทองก็ยิ่งทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้น

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น 40 กลางๆ ไปจนถึง 60 กลางๆ

วิธีบรรเทาอาการปวด หากคุณคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคนี้ ให้คุณลองปรึกษาแพทย์ ซึ่งเขาอาจแนะนำให้ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมบำบัด ทำกายภาพบำบัด และทานยาแก้ปวดระยะสั้น ในบางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัด

7. กล้ามเนื้อตึงหรือปวด

เมื่อคุณเริ่มมีอายุมากขึ้น เส้นใยกล้ามเนื้อจะยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บกล้ามเนื้อมากขึ้นหลังจากทำกิจกรรมที่เคยทำได้ เช่น ทำสวน หรือออกกำลังกาย เป็นต้น

ช่วงอายุที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น ทุกๆ 10 ปี

วิธีบรรเทาอาการปวด ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บตั้งแต่ต้น เช่น อย่ายก ดัน หรือดึงสิ่งของที่หนักโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น การยืดเส้นยืดสาย การออกกำลังกายอย่างโยคะและพิลาทิส สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น และบรรเทาอาการปวด หากเจ็บกล้ามเนื้อ ให้คุณพัก ประคบเย็น ใช้ผ้าพัน และหาที่ค้ำ หรืออาจใช้วิธีทานยาแก้ปวด แต่ถ้าไม่หาย คุณก็ควรไปพบแพทย์

การมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายถือเป็นเรื่องที่คนสูงอายุคุ้นชินเป็นอย่างดี แต่การดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ก็พอจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ค่ะ หากอาการปวดเกิดขึ้นเรื้อรัง คุณก็ควรปรึกษาแพทย์ เพราะมันสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้มากทีเดียว


1 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)