ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจว่า อาการของผู้หญิงตั้งครรภ์คือ คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หรืออารมณ์หงุดหงิดง่าย แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วช่วงสัปดาห์แรกที่ผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะมีอาการอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ คุณจะยังไม่สามารถตรวจว่า ตนเองตั้งครรภ์จริงหรือไม่ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ เนื่องจากปริมาณของฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin: HCG) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ยังอยู่ในระดับต่ำอยู่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถสังเกตอาการบางอย่างที่ร่างกายแสดงออกมา เพื่อสันนิษฐานว่า ตนเองอาจตั้งครรภ์ได้ ดังต่อไปนี้
อาการของหญิงตั้งครรภ์ 1 สัปดาห์
1. ประจำเดือนขาด
โดยปกติรอบเดือนของผู้หญิงจะมีระยะเวลาประมาณ 21-35 วัน แต่หากประจำเดือนขาดหายไปมากกว่า 10 วัน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า "คุณกำลังตั้งครรภ์"
เนื่องจากเมื่อไข่กับตัวอสุจิเริ่มปฏิสนธิกัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ออกมา เพื่อยับยั้งไม่ให้ผนังมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน และส่งเสริมการฝังตัวของตัวอ่อนแทน
แต่บางครั้งอาการประจำเดือนขาดก็อาจมาจากสาเหตุอื่นได้ที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์ เช่น การตั้งครรภ์ ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การใช้ยาคุมกำเนิด
2. มีตกขาวมากผิดปกติ
การตั้งครรภ์จะส่งผลให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจึงทำให้ตกขาวมีมากขึ้นได้ แต่ลักษณะของตกขาวยังต้องอยู่ในลักษณะปกติ คือ เป็นมูกใส หรือเป็นสีขาวขุ่น
แต่หากตกขาวมีลักษณะผิดปกติไป เช่น มีสีเขียว สีเหลือง และมีอาการคันระคายเคืองร่วมด้วย คุณควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อบางอย่าง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
3. มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด
ในช่วง 11-12 วันหลังปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะไปฝังตัวอยู่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้มีเลือดสีแดงจางๆ ปริมาณไม่มากไหลออกมาจากช่องคลอดได้ และเลือดนี้จะหยุดไหลไปเองภายใน 1-2 วัน
แต่หากคุณมีเลือดไหลไม่หยุดและมีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะเลือดที่ไหลออกมานั้นจากอาจเกิดจากการแท้ง หรือท้องนอกมดลูกได้
4. เต้านมมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ฮอร์โมนจากรก และรังไข่จะผลิตเพิ่มมากขึ้น ทำให้หัวนม และลานนมมีสีเข้ม หรือคล้ำขึ้น รวมถึงเต้านมขยายขนาด รวมกับมีอาการเจ็บตึงด้วย
5. ปัสสาวะบ่อย
มดลูกที่ขยายขนาดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งเพิ่มมากขึ้น จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะจนทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นได้
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้นสามารถส่งผลให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ไม่ดีนัก รวมถึงมีแก๊สเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร และมีอาการท้องผูกร่วมด้วย คุณจึงอาจเกิดอาการท้องอืด หรือไม่สบายท้องได้
วิธีแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ สามารถทำได้โดยเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่ายขึ้น เช่น ผักใบเขียว นม ไข่ รวมทั้งให้เพิ่มจำนวนครั้งของการรับประทานอาหารให้บ่อยกว่าเดิม แต่รับประทานครั้งละน้อยๆ แทน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
7. มีอาการแพ้ท้อง
เป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนเอชซีจีซึ่งจะมีระดับสูงขึ้นถึงประมาณ 16 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ คุณแม่ส่วนมากจึงมักจะมีอาการแพ้ท้อง อาการเหล่านี้เป็นอาการแพ้ท้องที่หลายคนรู้จักอยู่แล้ว เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อกลิ่น
นอกจากนี้การรับกลิ่น และรสอาหารยังอาจเปลี่ยนไปด้วย บางคนอาจอยากรับประทานอาหารรสเปรี้ยว หรืออาหารที่แปลกไปจากเดิม อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจไม่ได้กับหญิงตั้งครรภ์ทุกคน บางคนอาจไม่มีอาการเหล่านี้เลยก็ได้
8. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงยังสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และระบบไหลเวียนโลหิตได้ จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์บางคนอาจอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายกว่าปกติได้
วิธีแก้ คือ ให้รับประทานอาหารจำพวกโปรตีน และอาหารที่มีธาตุเหล็กเพิ่มเติม อาการอ่อนเพลียจากการตั้งครรภ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
9. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
เป็นอีกอาการจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจึงทำให้หญิงตั้งครรภ์หลายคนมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งเป็นอาการปกติโดยเฉพาะในช่วงเริ่มตั้งครรภ์
คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ และคนรอบข้างจึงควรเข้าใจอาการ และภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดการตั้งครรภ์
หากคุณแน่ใจแล้วว่าตนเองตั้งครรภ์ ควรรีบฝากครรภ์กับแพทย์เพื่อให้แพทย์ดูแลและนัดมาเช็กอาการสม่ำเสมอ เพราะในการฝากครรภ์แพทย์มักทำการตรวจยืนยันการตั้งครรภ์ให้ก่อน และจะดูแลเป็นระยะจนกระทั่งถึงวันคลอด
“ท้องหลอก” อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงตั้งครรภ์ 1 สัปดาห์
หลายคนอาจไม่รู้จักกับอาการท้องหลอก หรือชื่อทางการแพทย์คือ “Spurious Pregnancy” หรือ “Pseudocyesis” ซึ่งจัดเป็นอาการผิดปกติทางจิตอย่างหนึ่ง
อาการท้องหลอกคือ อาการที่ผู้หญิงอุปทานไปเองว่า "ตนเองตั้งครรภ์" โดยมักมีสาเหตุมาจาก สภาพทางจิตใจที่เครียด อยากมีลูกแต่ไม่มีเสียที จนทำให้ต่อมใต้สมองสร้างฮอร์โมนมากระตุ้นรังไข่และมดลูก ทำให้ผนังมดลูกหนาขึ้นและไม่มีประจำเดือน
นอกจากนี้อาการท้องหลอกยังส่งผลให้เกิดอาการคล้ายกับอาการแพ้ท้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย แม้กระทั่งรู้สึกว่าลูกดิ้นในท้อง แต่เมื่อไปตรวจอัลตราซาวน์ก็จะไม่พบว่ามีการตั้งครรภ์ เพราะทุกอย่างเกิดจากการอุปทานไปเองทั้งนั้น
ดังนั้นก่อนที่จะสรุปว่า ตนเองตั้งครรภ์หรือไม่นั้น ควรไปตรวจร่างกายกับแพทย์เพื่อให้แน่ใจเสียก่อน
ระยะเวลาครรภ์ที่สามารถตรวจด้วยตนเองได้
วิธีตรวจครรภ์อายุ 1 สัปดาห์ที่แม่นยำที่สุดคือ การตรวจกับแพทย์โดยตรง แต่หากต้องการตรวจครรภ์ด้วยตนเองก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อชุดตรวจครรภ์ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด
อย่างไรก็ตาม อายุครรภ์ที่จะสามารถตรวจด้วยชุดตรวจครรภ์เองได้คือ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระดับฮอร์โมนเอชซีจีสูงเพียงพอแล้วและควรใช้ปัสสาวะแรกในตอนเช้าสำหรับการตรวจ
เหตุที่แนะนำให้ใช้ปัสสาวะตอนเช้า เนื่องจากระยะเวลาดังกล่าวะจะทำให้ผลตรวจออกมาแม่นยำที่สุด
หมั่นสังเกตอาการของตนเอง หากมีความผิดปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อความมั่นใจ และจะได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ดูแพ็กเกจตรวจภาวะมีบุตรยาก หรือเตรียมตัวมีบุตร เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android