ภาวะเพ้อ หรือ ภาวะสับสนเฉียบพลัน (Delirium) คือ ความผิดปกติทางจิตประสาท อาการมักเป็นชั่วคราว สามารถกลับมาเป็นปกติได้ เกิดจากความผิดปกติของสมองซึ่งเป็นผลจากการเจ็บป่วยทางกายเฉียบพลัน
อาการเพ้อเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักใน ICU ผู้ป่วยหลังผ่าตัด และผู้ที่มีสมองบกพร่องอยู่เดิม
อาการเพ้อคืออะไร?
สิ่งที่ใช้เป็นอาการหลักในการวินิจฉัยว่ามีภาวะเพ้อ คือ ระดับความรู้สึกตัวแปรปรวน ทั้งด้านความใส่ใจและระดับการรับรู้
อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นวัน ความรุนแรงมีความผันผวนไม่แน่นอน มีความบกพร่องของการรู้คิดที่พิเศษ คือความจำบกพร่องและสับสนงุนงง การใช้ภาษาผิดปกติ อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว และวงจรการนอนหลับผิดปกติ
เพ้อ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
สาเหตุหลักๆ ของภาวะเพ้อแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
1. ได้รับยาและสารเสพติดบางชนิดเกินขนาด
ยากลุ่มดังกล่าว เช่น
- ยานอนหลับ ยารักษาโรคทางจิตเวช ยาระงับอาการปวด ยารักษาโรคพาร์กินสัน
- ยาบ้า (Amphetamine)
- ยาแผนโบราณ โดยเฉพาะยาลูกกลอน
2. หยุดสุรา หรือยานอนหลับบางชนิดกระทันหัน
ในกรณีนี้จะเกิดในคนที่ติดสุราหรือยาชนิดนั้นแล้ว ในรายที่หยุดดื่มสุราอย่างฉับพลันอาจเกิดอาการเพ้อซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ภาวะถอนพิษสุรา (Delirium tremens)"
3. มีความผิดปกติของสมองและระบบประสาท
ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง การติดเชื้อในสมอง อุบัติเหตุที่ศีรษะ และเนื้องอกที่สมอง
4. มีอาการผิดปกติอื่นๆ
อาการผิดปกติที่ว่านั้น ได้แก่
- มีไข้สูง
- สมดุลเกลือแร่ผิดปกติ (ระดับเกลือแร่ในเลือดสูงหรือต่ำไป)
- ติดเชื้อ
- การขาดสารอาหาร ขาดออกซิเจน
- เป็นโรคทางต่อมไร้ท่อ มะเร็ง
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีภาวะหัวใจล้มเหลว
หากแบ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยตามกลุ่มอายุของผู้ป่วย จะเป็นดังนี้
- วัยเด็ก มักเกิดจากการติดเชื้อ มีไข้ ได้รับสารพิษ การชัก และอุบัติเหตุทางสมอง
- วัยรุ่น มักเกิดจากการขาดหรือได้รับสารเสพติดเกินขนาด การติดเชื้อ และอุบัติเหตุทางสมอง
- วัยกลางคน มักเกิดจากการขาดสุรา หรือยานอนหลับ สารพิษจากโรงงาน มะเร็ง โรคทางต่อมไร้ท่อ ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจ
- วัยสูงอายุ โรคหลอดเลือดหัวใจ ได้รับยานอนหลับเกินขนาด โรคสมองเสื่อม
เพ้อ มีอาการอย่างไร?
อาการและลักษณะของอาการที่สามารถพบได้ มีดังนี้
- มีความผิดปกติของระดับสติสัมปชัญญะ ได้แก่ ง่วงนอน ซึม สับสน เสียการรับรู้ความเป็นไปของสิ่งแวดล้อม คือ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ตอนนี้วันที่เท่าไร วันอะไร เวลาไหน หรืออาจไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทุกชนิด
- อาการต่างๆ มักเกิดโดยเฉียบพลัน ภายในระยะเวลาสั้นๆ
- เสียการรับรู้ต่อเวลา สถานที่ แต่การรับรู้ต่อบุคคลว่าเป็นใครอาจจะยังดีอยู่ก็ได้
- สูญเสียความทรงจำ โดยเฉพาะความจำระยะสั้นๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น
- ไม่สามารถจดจ่อได้ เสียสมาธิได้ง่ายกว่าปกติ
- มีปัญหาในการใช้ภาษาพูด ไม่สามารถเรียกชื่อสิ่งของได้ เล่าเรื่องได้ไม่ต่อเนื่อง พูดจานอกประเด็น อาจเขียนหนังสือไม่ได้
- กระสับกระส่าย วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ สับสนเป็นพักๆ พูดจาเพ้อเจ้อ บางครั้งรู้สึกตัว บางครั้งไม่รู้เรื่อง โดยในเวลาใกล้ค่ำมักจะไม่รู้เวลา บุคคล หรือสถานที่
- อาจจะมีอาการประสาทหลอน หลงผิด หูแว่ว เห็นภาพหลอน โดยผู้ป่วยจะแสดงอารมณ์หรือมีพฤติกรรมตอบโต้ต่อสิ่งเหล่านั้น ที่พบได้ เช่น ทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น
- มีความผิดปกติของวงจรการนอนหลับและตื่น โดยมักง่วงและนอนตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนมักจะวุ่นวาย เอะอะโวยวาย ปีนเตียง ดึงสายน้ำเกลือ หรืออาจจะเชื่องช้า ไม่รู้สึกตัวแทนได้
- กลุ่มอาการ ICU (ICU Syndrome) เป็นอาการเพ้อเมื่อถูกส่งเข้าห้อง ICU เนื่องจากอยู่ในสิ่วแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการปรับตัว
อาการเพ้อ พูดคนเดียว สับสน ตอนกลางคืน ในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยมะเร็ง หลังผ่าตัด อันตรายมากไหม?
ในผู้สูงอายุ อาการเพ้อส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล เพิ่มผลข้างเคียงจากการอยู่โรงพยาบาล เพิ่มอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาล และเพิ่มอัตราของโรคสมองเสื่อมมากขึ้น
มีการศึกษาวิจัยพบว่า มีปัจจัยที่สามารถทำนายถึงผลการรักษาที่ไม่ดีในผู้ป่วยที่มีภาวะเพ้อในโรงพยาบาล เช่น ระยะเวลาที่เกิดอาการเพ้อ การเพ้อแบบไฮโปแอกทีฟ (Hypoactive-เซื่องซึม เฉยเมย ไม่ค่อยตอบสนอง) ระดับความรุนแรง และภาวะความผิดปกติทางจิตเดิมจากโรคสมอง หรือโรคซึมเศร้า
ในผู้ป่วยมะเร็ง ภาวะเพ้อจะเกิดในระยะท้ายๆ ของโรคแล้ว มะเร็งมีการแพร่กระจายไปที่ต่างๆ ทำให้สามารถรักษามะเร็งซึ่งเป็นปัจจัยหลักของภาวะเพ้อให้หายขาดได้ยาก
สิ่งที่ทำได้มักเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยสบายที่สุด เจ็บปวดน้อยที่สุด ก่อนการจากไปอย่างสงบ
ภาวะเพ้อหลังการผ่าตัดเกิดได้จากหลายสาเหตุมาก เช่น ฤทธิ์ยาสลบ (Sedation) อาการปวด ภาวะถอนยาเบนโซไดอาซีพีน (Benzodiazepine) ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ความดันโลหิตต่ำ การติดเชื้อในกระแสเลือด
หากแก้ไขสาเหตุได้ อาการก็จะหายไป โดยอาการมักเกิดขึ้นภายใน 3 วันแรกหลังจากผ่าตัด และมักจะกลับมาเป็นปกติได้ภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
การดูแลผู้ป่วยมีอาการเพ้อ
การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อด้านร่างกาย
อย่างแรกควรรักษาภาวะเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ และน่าจะเป็นสาเหตุของภาวะเพ้อทั้งหมด
โดยเฉพาะสาเหตุที่รักษาให้หายเป็นปกติได้ ได้แก่ ไข้สูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ขาดออกซิเจน ความดันโลหิตสูงมาก ภาวะขาดแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ สมดุลกรดด่างผิดปกติ สมดุลเกลือแร่ผิดปกติ ภาวะขาดน้ำ ขาดสารอาหารในร่างกาย
อาจใช้ยารักษาและบรรเทาอาการเพ้อ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการโรคจิต (หลงผิด ประสาทหลอน เห็นภาพหลอน) ยาที่ได้ผลดีคือ ฮาโลเพอริดอล (Haloperidol) ให้กิน หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อก็ได้ โดยสามารถให้ยาซ้ำได้อีกหากอาการไม่ดีขึ้นหลังผ่านไป 1 ชั่วโมง
หรืออาจให้ยากลุ่มเบนโซไดอาซีพีน (Benzodiazepine) เช่น ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ไดอาซีแพม (Diazepam) โดยวิธีกิน หรือฉีดเข้าเส้นเลือดก็ได้ โดยมักให้ในผู้ป่วยที่มีอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หรือในรายที่มีโอกาสชักสูง เช่น ผู้ป่วยในภาวะขาดแอลกอฮอล์หรือขาดยานอนหลับต่างๆ
อย่างไรก็ตาม การให้ยาควรอยู่ในการดูแลของแพทย์
2. การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อด้านจิตใจ
ก่อนอื่นประเมินสิ่งแวดล้อมและหามาตรการป้องกันอันตรายต่อตัวผู้ป่วยและบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิด
เพราะผู้ป่วยอาจทำร้ายตัวเองและคนใกล้ชิดได้ หรือมีการแปลภาพผิด เช่น เห็นหน้าต่างชั้นสูงๆ เป็นประตูที่สูงจากพื้นดินแค่ไม่ถึงเมตร จึงเดินออกไปเกิดตกตึกเสียชีวิตได้
ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย และให้ความมั่นใจว่าอาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษา อาการที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
บุคคลใกล้ชิดที่อาศัยร่วมกับผู้ป่วยที่มีอาการเพ้อควรปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยให้เหมาะสม ได้แก่ นาฬิกา ปฏิทิน ในระยะที่ผู้ป่วยมองเห็นได้ชัดเจน
หากผู้ป่วยมีปัญหาด้านสายตาก็หาแว่นตาให้ใส่เพื่อความชัดเจนของการมองเห็น จัดให้มีแสงสว่างตามธรรมชาติในช่วงกลางวัน และลดแสงสว่างจากอุปกรณ์ต่างๆ ในช่วงกลางคืน สภาพแวดล้อมต้องไม่เงียบ หรือวุ่นวายมากจนเกินไป และอาจจะเพิ่มบรรยากาศที่ผู้ป่วยคุ้นเคย เช่น ให้ญาติสนิทมาเฝ้า หารูปถ่ายครอบครัวมาตั้งไว้ใกล้ๆ
บุคคลใกล้ชิดควรช่วยบอก ช่วยเตือนความทรงจำของผู้ป่วยให้ถูกต้อง โดยพูดเป็นคำสั้นๆ เข้าใจง่าย เช่น ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลกำลังให้การรักษา ญาติที่มาเฝ้าเป็นใคร ชื่ออะไร
ข้อควรระวังคือ ห้ามญาติตามใจด้วยการคล้อยตามสิ่งที่ผู้ป่วยเข้าใจผิด ให้คอยบอกว่าที่ถูกต้องคืออะไร โดยสิ่งที่พูดต้องไม่เป็นการโต้เถียงกับผู้ป่วย