“สิว”เป็นหนึ่งในปัญหากวนใจใครหลายๆคน ซึ่งเกิดจากความผิดปติของรูขุมขนและไขมัน จนก่อให้เกิดการอุดตันหรือติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นที่มาของสิวผด สิวอักเสบ สิวหัวหนอง หรือสิวหัวช้าง สิวจะพบมากในวัยรุ่น แต่ทั้งนี้ในวัยผู้ใหญ่หรือผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็มีโอกาสเกิดได้เช่นกัน แม้สิวจะไม่ทำอันตรายถึงขั้นชีวิต แต่ก็ส่งกระทบต่อความมั่นใจและจิตใจได้ ดังนั้นการรักษาและบรรเทาอาการสิวจึงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนใส่ใจและหาวิธีในการกำจัดมันออก การรักษาโดยใช้วิตามินตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำได้และเห็นผลค่อนข้างชัดเจน
ตัวอย่างวิตามินรักษาสิว รูปแบบ วิธีใช้ และข้อควรระวัง มีดังนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
รักษาสิวด้วยวิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอเป็นวิตามินที่สามารถรักษาสิวได้ เพียงแต่ต้องใช้ในปริมาณและวิธีที่ถูกต้อง มีวิตามินเอชนิดทาใช้รักษาสิว
โดยวิตามินเอหรือสารที่เรียกว่าเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นสารที่มีฤทธิ์ในการละลายหัวสิว ผลักสิวอุดตัน ลดรอยแผลเป็นจากสิว ปรับโครงสร้างผิวชั้นบนสุดของผิวหนังชั้นเคราติน ลดการอักเสบของสิว ลดการเจริญเติบโตของเชื้อที่ก่อให้เกิดสิว และช่วยปรับให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
วิตามินเอในรูปแบบทามีวางจำหน่ายในท้องตลาดในรูปแบบครีมรักษาสิว เช่น แบรนด์ Retin-A, Renoca, Stieva-A, Differin, Tozarac และ Zorac โดยเริ่มแรกควรทาปริมาณน้อยๆ ก่อนเพื่อให้ผิวปรับตัว หรืออาจทาแล้วล้างออก และหากผิวปรับตัวได้ก็อาจทาวันเว้นวันก่อนนอน
ครีมรักษาสิวกลุ่มนี้ควรทาในเวลากลางคืนเพราะครีมนี้ทำให้ผิวไวต่อแสง และควรทาครีมกันแดดในเวลากลางวันด้วย รวมถึงควรทามอยซ์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) ด้วยเนื่องจากผิวจะแห้งลง โดยในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกอาจมีอาการสิวเห่อและมีสิวผดเกิดขึ้น และเริ่มยุบและเห็นผลในเวลาประมาณหนึ่งเดือน
ข้อควรระวัง ครีมรักษาสิวชนิดนี้ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตรเด็ดขาด เพราะวิตามินเออาจสะสมในร่างกายและเป็นพิษต่อเด็กในครรภ์ได้ โดยประกาศขององค์การอาหารและยาจัดให้สารนี้เป็นยา และห้ามใช้ในเครื่องสำอางค์และหากใครต้องการใช้ยารักษาสิวเรตินอยด์นี้ ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้เนื่องจากเป็นยาที่ค่อนข้างเป็นอันตรายต่อผิวหนัง
รักษาสิวด้วยวิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซีเป็นวิตามินที่หลายๆ คนทราบดีอยู่แล้วว่ารับประทานแล้วช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ไม่ป่วยง่าย แต่วิตามินซีก็ยังมีฤทธิ์ด้านการรักษาสิวและลดรอยด่างดำจากสิวด้วย เพราะวิตามินซีเป็นหนึ่งในสร้างที่ใช้ในการสังเคราะห์คอลลาเจน และส่งเสริมการสร้างอิลาสติน (Elastin) ในผิวหนัง
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ซึ่งทั้งสองสารนี้เป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างชั้นผิวใหม่และฟื้นฟูผิว ซึ่งหากผิวของเรามีชั้นคอลลาเจนที่แข็งแรงก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดสิว ช่วยให้รอยสิวเกิดยาก หรือถ้าหากเป็นสิวอยู่แล้ว รอยสิวก็จะหายเร็วขึ้น นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยให้จุดด่างดำจางลงอีกด้วย อนุมูลอิสระ (Free radical)
เป็นสารที่เกิดเองตามธรรมชาติภายในร่างกายเรา โดยอนุมูลอิสระมีฤทธิ์ทำลายผิวโดยทำลายกรดไขมันและโปรตีนบนเซลล์ของชั้นผิวหนังและทำให้สมดุล pH ของผิวเปลี่ยนไป จนทำให้ต่อมไขมันบนผิวหน้าระคายเคือง จนทำให้ผิวผลิตไขมัน (Sebum) มากขึ้น และอาจทำให้ผิวเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและก่อให้เกิดสิวได้
การรับประทานวิตามินซีเป็นการช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ เพราะมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง และไปกำจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิวและริ้วรอย วิตามินซียังช่วยให้รอยแดงของสิวลดน้อยลงด้วย ซึ่งรอยแดงจากสิวเกิดจากการอักเสบของชั้นผิวหนัง
กระบวนการคือ โดยปกติร่างกายปล่อยสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติ (Leukotrienes) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย และแบคทีเรียก็ป้องกันตัวเองเช่นกันโดยปล่อยสารเคมีออกมาและก่อให้เกิดรอยแดงขึ้น จากการศึกษาพบว่า การรับประทานวิตามินซีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันนี้ทำงานน้อยลง และลดรอยแดงลงได้ แต่
ทั้งนี้ วิตามินซีไม่ได้ใช้เป็นยาหลักในการรักษาสิว เพียงแต่เป็นวิตามินเสริมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดสิวและบรรเทาอาการสิวได้ และวิตามินซีแบบทาให้ผลเร็วแต่ไม่ยาวนาน ดังนั้นจึงแนะนำให้รับประทานวิตามินซีแบบรับประทานดีกว่า แนะนำว่ารับประทานควรวิตามินซีอย่างน้อย 75-90 มิลลกิกรัมต่อวัน
แต่ไม่มากเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน อาหารเสริมวิตามินซีในปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อ เช่น วิตามิน DHC, Blackmore, Nat C ของ MEGA We care องค์การเภสัชกรรม ซึ่งหาซื้อได้ง่าย หรือหากใครมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ก็ขอแนะนำ Ester-C 1 500mg ของยี่ห้อ Solgar ซึ่งยี่ห้อนี้อ้างว่าวิตามินซีที่ผลิตมาไม่มีฤทธิ์เป็นกรดและไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร