ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักการทั่วไปในการใช้ยาทางจิตเวชในผู้ป่วยที่มีโรคทางกาย ได้แก่ ผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยสูงอายุ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ควรหลีกเลี่ยงการให้ยาหลายชนิดร่วมกัน ในการรักษาอาการทางจิตเวช โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อเกลือแร่และอัตราการเต้นของหัวใจ
- ควรเริ่มต้นขนาดยาต่ำ ๆ และปรับขนาดยาอย่างช้า ๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- ควรระวังในการใช้ยา ที่ทำให้มีผลทำให้การนำไฟฟ้าของหัวใจผิดปกติ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติได้ เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม tricyclic antidepressants
ภาวะต่างๆของโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ต้องพิจารณาในการใช้ยา ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- อาการเจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (angina) หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทางเพราะอาจทำให้หัวใจบีบตัวเพิ่มขึ้น จนเกิดอาการเจ็บหน้าอก เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดกำเริบขึ้นได้ สำหรับตัวอย่างยา ที่มีผลทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทาง ได้แก่ยารักษาโรคจิตบางชนิด Clozapine, phenothiazine ยารักษาโรคซึมเศร้า Trazodone และยากลุ่ม tricyclic antidepressants
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ซึ่งยารักษาอาการทางจิตบางชนิดมีผลทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น phenothiazine, haloperidol, pimozide และในกลุ่มยารักษาโรคซึมเศร้าที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นยาในกลุ่ม SSRIs
- ภาวะหัวใจทำงานล้มเหลวควรหลีกเลี่ยงยาที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทางเช่นกัน เนื่องจากทำให้หัวใจบีบตัวเร็วขึ้น จนเกิดภาวะหัวใจทำงานล้มเหลว
- ภาวะความดันโลหิตสูง ควรระวังการใช้ยาที่ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่าทาง รวมทั้งยาบางชนิดที่ใช้ขนาดสูงมีผลทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้เช่นเดียวกันเช่น venlafaxine ซึ่งเป็นยาในกลุ่มรักษาโรคซึมเศร้า เมื่อใช้ขนาดยาสูงมีผลต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดได้
โรคตับ
- เมื่อผู้ป่วยมีภาวะตับทำงานบกพร่อง โดยเฉพาะตับทำงานบกพร่องขั้นรุนแรงจำเป็นต้องปรับขนาดยาให้ต่ำลงทั้งในขนาดยาที่เริ่มต้นของการรักษา และขนาดยาสูงสุดที่ผู้ป่วยสามารถใช้ได้ โดยการปรับขนาดยาควรปรับช้า ๆ และควรตรวจการทำงานของตับอย่างสม่ำเสมอ
- ยาบางชนิดอาจมีผลเพิ่มเอนไซม์ตับ ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกถึงภาวะตับถูกทำลาย หากตรวจพบว่าค่าเอนไซม์ตับเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ จำเป็นต้องสืบหาสาเหตุว่าเกิดจากการใช้ยาจิตเวชหรือไม่
- กรณีผู้ป่วยเป็นโรคตับรุนแรงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาจิตเวชที่มีอาการข้างเคียงง่วงซึม เพราะอาการง่วงซึมจะมีผลต่อการทำงานของสมอง และ อาจกระตุ้นหรือบดบัง อาการของโรคตับที่เกิดสารพิษทำลายระบบประสาท หรือบดบังอาการทางระบบประสาทอย่างอื่นๆ
- ยาทางจิตเวชส่วนใหญ่ถูกขจัดยาผ่านทางตับ จึงจำเป็นต้องประเมินการทำงานของตับเพื่อการเลือกใช้และปรับขนาดยาเสมอ
โรคไต
- ภาวะการทำงานของไตบกพร่องยิ่งรุนแรงยิ่งมีผลทำให้ยาสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อเริ่มใช้ยาควรเริ่มยาที่ขนาดต่ำและปรับขนาดยาอย่างช้า ๆ ในผู้ที่มีปัญหาทางไต
- ในผู้สูงอายุ แม้มีการเสื่อมของไต ค่าผลตรวจทางปฏิบัติการอาจไม่สูงขึ้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาควรเริ่มใช้ยาที่ขนาดต่ำกว่าขนาดปกติ
- เมื่อระดับยาสะสมในร่างกายได้ง่ายจากภาวะไตทำงานบกพร่อง จึงอาจเกิดอาการข้างเคียงได้บ่อย เช่น อาการง่วงซึม ภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทาง ภาวะความคิดสับสน
- ควรระมัดระวังการใช้ยาทางจิตเวชที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เพราะอาจทำให้เกิดอาการปัสสาวะคั่งและมีผลต่อการขจัดยาทางไตได้
ผู้สูงอายุ
ผู้ป่วยสูงอายุจะมีการทำงานของตับและไตที่ลดลง รวมทั้งมักมีโรคทางกายต่าง ๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และได้รับยารักษาหลายขนาน ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการใช้ยาในผู้สูงอายุนอกจากนี้ควรจัดแบ่งมื้อยาให้รับประทานง่าย เพราะผู้ป่วยจะมีปัญหาหลงลืมกินยาได้ง่ายเช่นกัน
- คุณลักษณะของยาที่มีผลต่อร่างกาย และการทำงานของร่างกายที่มีผลต่อยามักเปลี่ยนแปลงไปในผู้สูงอายุ และยาสามารถอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากยาได้ง่าย
- ควรใช้ยาขนาดต่ำสุดที่ได้ผลในการรักษา และปรับขนาดยาช้า ๆโดยเลี่ยงการใช้ยาแบบหลายชนิดร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการง่วงหรือทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เนื่องจากอาจทำให้ผู้สูงอายุหกล้มได้
- หากผู้ป่วยสูงอายุ มีสมาธิ หรือความจำแย่ลง หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ควรพิจารณาถึงสาเหตุซึ่งอาจเกิดจากพิษของยา ทางจิตเวชได้เช่นกัน
ภาวะตั้งครรภ์
- หาผู้ป่วยวางแผนจะตั้งครรภ์ผู้ป่วยควรได้รับทราบข้อมูลถึงความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการต่อตัวอ่อนในครรภ์มารดา เปรียบเทียบกับผลดีในการป้องกันอาการกำเริบและควรใช้ยาที่มีความเสี่ยงต่ำ
- ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการต่อตัวอ่อนในครรภ์มารดาสูง ถัดมาในช่วงไตรมาสที่ 2 มีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตการสร้างอวัยวะ และการทำงานของสมองทารกในครรภ์ได้ และในระยะหลังคลอดทารกอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการถอนยาจากการที่มารดารับประทานยาจิตเวช ในช่วงระหว่างตั้งครรภ์
- ผลต่อเด็กจากการได้รับยาในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมา มีปัญหาด้านพฤติกรรมหรือปัญหาทางด้านการเรียนหรือพัฒนาการช้า
- ถ้าเป็นไปได้ควรเลี่ยง การใช้ยาจิตเวชทุกชนิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรเป็นขนาดยาต่ำสุดที่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษา
- ในผู้ป่วยหลาย ๆ คนที่หยุดยา ทำให้อาการกำเริบผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ต้องให้ขนาดยาสูงซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปในผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ตั้งครรภ์แพทย์จะยังคงให้ยารักษาโรคจิตเภทต่อเพราะมีความเสี่ยงสูงหากผู้ป่วยหยุดยา
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาหลายชนิดร่วมกันในการรักษาเพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อทารกเช่นกัน
ภาวะให้นมบุตร
- ยาทางจิตเวชทุกชนิดผ่านทางน้ำนมได้ ระดับยาในน้ำนมจะมีความเข้มข้นประมาณ 1%ของความเข้มข้นในเลือดมารดา ตัวยาจึงอาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดอาการข้างเคียงในทารกได้
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหากทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกมีปัญหาตับ ไต หัวใจ หรือระบบประสาท
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่สะสมอยู่ในร่างกายได้เป็นระยะเวลานานหรือยาที่ทำให้ง่วงซึม
- หากมารดารับประทานยาชนิดนั้นขณะตั้งครรภ์อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่นขณะให้นม เนื่องจากปริมาณยาที่ทารกได้รับจากน้ำนมจะน้อยกว่าที่ได้รับขณะตั้งครรภ์
- การเกิดอาการข้างเคียง มักสัมพันธ์กับปริมาณยา จึงควรให้มารดาได้รับยาในขนาดที่ต่ำสุดที่ได้ผลในการรักษาเพื่อให้เกิดความ เสี่ยงต่อทารกน้อยที่สุด
- ควรหลีกเลี่ยงการให้ยาหลายชนิดร่วมกันเพราะทำให้ทารกมีโอกาสเกิดอาการข้างเคียงได้ง่าย
- เวลาที่เหมาะสมที่สุดคือให้มารดากินยาทันทีหลังให้นมทารกเสร็จแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการให้นมทารกหลังกินยา 1-2 ชั่วโมงเพราะเป็นเวลาที่ระดับยาในเลือดสูงสุด
การใช้ยาทางจิตเวชในผู้ป่วยที่มีโรคทางกายนั้น จะต้องประเมินความเสี่ยงและผลประโยชน์ในการรักษาอย่างรอบคอบ เนื่องจากการใช้ยาโรคทางกายอาจมีอันตรายกิริยากับยาทางจิตเวช หรือผู้ป่วยที่มีการทำงานของอวัยวะสำคัญบกพร่อง เช่น ไต ตับ ระบบทางเดินอาหาร มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาเช่นกัน นอกจากนั้นอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาทางจิตเวชอาจกระทบต่อโรคทางกายที่มีอยู่เดิม