ประโยชน์ของแก้วมังกร ไอเดียการกินการใช้แก้วมังกรเพื่อสุขภาพ ข้อควรระวัง

เผยแพร่ครั้งแรก 31 ส.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
ประโยชน์ของแก้วมังกร ไอเดียการกินการใช้แก้วมังกรเพื่อสุขภาพ ข้อควรระวัง

แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น มีรสชาติหวานฉ่ำอร่อย เหมาะกับผู้ที่รักสุขภาพ กินลดน้ำหนักได้ แถมราคาไม่แพง หาซื้อง่าย คนที่ชอบทานผลไม้ก็สมควรจะหามารับประทานบ่อยๆ สลับกับผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรนั้นเหมาะกับทุกเพศทุกวัย นับเป็นผลไม้ตัวเลือกอีกหนึ่งชนิดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว

รู้จักแก้วมังกร

แก้วมังกร (Dragon fruit) เป็นพืชประเภทไม้เลื้อยอยู่ในตระกูลตระบองเพชร มีถิ่นกำเนิดแถวอเมริกากลาง ลำต้นยาวประมาณ 5 เมตร ดอกสีขาว ผลมีรูปทรงกลมรี เปลือกสีเขียว เมื่อผลสุกเปลือกจะเป็นสีแดง ชมพู และม่วงแดง โดยมีน้ำหนัก 300-600 กรัม/ผล พันธุ์เวียดนามหรือไทย เนื้อจะมีสีขาว มีเมล็ดดำคล้ายงาหรือเม็ดแมงลักกระจายอยู่ภายในเนื้อ นิยมปลูกด้วยกัน 3 สายพันธุ์คือ พันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง พันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง และพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง

คุณค่าทางโภชนาการของแก้วมังกร

ในแก้วมังกร 100 กรัม ประกอบไปด้วยพลังงาน 66 กิโลแคลอรี่, คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม, โปรตีน 1.4 กรัม, ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม, แคลเซียม 9 มิลลิกรัม, วิตามินซี 7 มิลลิกรัม และใยอาหาร 2.6 กรัม จะเห็นได้ว่าแก้วมังกรอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิดจึงจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่ควรค่าแก่การทานเป็นประจำ

ประโยชน์ของแก้วมังกร

แก้วมังกรนิยมรับประทานแบบทั้งผลสด หรือนำมาปั่นเป็นเครื่องดื่ม ตลอดจนทำเป็นส่วนผสมของฟรุตสลัด ซึ่งมีคุณค่าทางสารอาหารตลอดจนแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เพราะมีแคลอรีต่ำแต่ให้ใยอาหารสูง ช่วยดับกระหายคลายร้อน และทำให้สดชื่น อีกทั้งยังมีประโยชน์ทางด้านอื่นๆ เพิ่มอีกดังนี้

  • ควบคุมระดับกลูโคสแก้วมังกรสามารถช่วยควบคุมระดับกลูโคส เพราะมีสาร Mucilage ที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเจล โดยจะช่วยการควบคุมระดับกลูโคสในเส้นเลือด และสารชนิดนี้ยังสามารถช่วยดูดซับน้ำส่วนเกินในร่างกายได้อีกด้วย
  • ช่วยย่อยอาหารในแก้วมังกรจะมีปริมาณเส้นใยช่วยทำใหการเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น และสามารถขับถ่ายได้เป็นปกติ เพราะในแก้วมังกร 100 กรัม จะมีปริมาณเส้นใย 100 กรัมเท่ากัน โดยแตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่นๆ ดังนั้น สำหรับใครที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำ กินแก้วมังกรแล้วไม่มีผิดหวัง จะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้นแน่นอน
  • ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันแก้วมังกรมีสารฟลาโวนอยด์  ซึ่งเป็นโปรตีนที่จะช่วยส่งเสริมวิตามินซีในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแก้วมังกรมีปริมาณวิตามินซีมากกว่าแครอท จึงสามารถช่วยป้องกันหวัดและต้านการเกิดโรคต่างๆ ได้
  • ช่วยบำรุงผิวแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยให้ผิวสามารถดูดซึมวิตามินซี และวิตามินชนิดอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น กินเป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส แลดูกระชับ และลดริ้วรอย ทำให้อ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
  • ลดน้ำหนักเนื่องจากแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูง กินแล้วจึงทำให้อิ่มท้องนานและลดอาการหิวจุบจิบได้ เหมาะที่จะกินเป็นอาหารว่างหรือกินมื้อเย็นอย่างมากทีเดียว ที่สำคัญยังมีแคลอรีต่ำ โดยไม่ทำให้อ้วน จึงกลายเป็นผลไม้ลดน้ำหนักที่คนรักสุขภาพที่อยากมีรูปร่างเพรียวสวย มักนิยมทานกันเป็นประจำ

ไอเดียการใช้แก้วมังกรเพื่อสุขภาพและความงาม

  • นำมาทำเป็นสีผสมอาหาร เนื่องจากในแก้วมังกรมีสารในกลุ่ม betalains โดยพบอยูในเปลือกและในเนื้อ ซึ่งได้รับความนิยมในการนำมาทำเป็นสีผสมอาหารมาก เพราะมีความปลอดภัยสูง น้ำตาลที่มีในแก้วมังกรยังเป็นน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสและซูโครสที่ให้รสชาติอร่อยอีกด้วย
  • ต้านริ้วรอย ชะลอความแก่ แก้วมังกร สามารถนำมาใช้เพื่อต้านริ้วรอยและชะลอความแก่ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงได้ โดยให้นำแก้วมังกร 1/2 ลูกคว้านเอาแต่เนื้อมาบดให้ละเอียดเป็นเนื้อครีม ใส่โยเกิร์ตลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้าและลำคอ พอกทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น เพื่อให้ผิวมีความกระชับมากขึ้น เมื่อทำเป็นประจำริ้วรอยจะค่อยๆ จางลงและผิวดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมอย่างแน่นอน
  • รักษาสิว แก้วมังกรมีคุณสมบัติลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวได้ดี โดยนำแก้วมังกรขูดเอาแต่เนื้อประมาณ 1/4 ลูก บดให้ละเอียดเป็นเนื้อครีม จากนั้นนำมาทาบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะทำให้คุณมีผิวสวยไร้สิว หมดกังวลกับปัญหาสิวมากวนใจได้เลย

ไอเดียการกินแก้วมังกรเพื่อสุขภาพ

นอกเหนือจากการรับประทานเนื้อผลสดแล้ว แก้วมังกรยังสามารถนำมาประกอบอาหารประเภทขนมหรือของว่างและเครื่องดื่มทานได้อีกด้วย แม้แต่เมนูยอดฮิตอย่างตำผลไม้หรือบาร์บีคิว แก้วมังกรก็สามารถใส่รวมได้อย่างกลมกลืน รับประกันถึงความอร่อยลงตัว และยังทรงคุณค่าของสารอาหารที่มีอยู่ได้อย่างครบถ้วน ไปดูกันว่าไอเดียการนำแก้วมังกรมาประกอบเป็นเมนูน่าทานต่างๆ ทำได้ยังไงบ้าง

  • สมูทตี้แก้วมังกรเป็นเมนูที่ให้ความสดชื่น คลายความอบอ้าวในวันที่อากาศร้อนได้ดี เพียงเตรียมส่วนผสม ได้แก่ แก้วมังกร โยเกิร์ตรสธรรมชาติ น้ำผึ้ง นมสด และน้ำแข็ง เริ่มทำด้วยการปั่นทุกอย่างที่เตรียมไว้จนลงตัว แต่อย่าใส่น้ำแข็งมาก ใส่เพียงเล็กน้อย เท่านี้ก็ได้สมูทตี้แก้วมังกรรสชาติถูกปากและช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบำรุงผิวให้สวยได้อีกด้วย
  • สลัดผลไม้รวมเมนูสำหรับผู้ที่รักสุขภาพรับประทานแล้วไม่อ้วน ได้สารอาหารครบถ้วนหลากหลายจากสลัดผลไม้ต่างๆ ได้แก่ แก้วมังกร แอปเปิลเขียว กีวี บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และโยเกิร์ตไขมันต่ำ (จะใส่ผลไม้อื่นๆ เพิ่มอีกก็ได้ตามชอบ) เพียงเท่านี้ก็จะได้อาหารมื้อเย็นที่แสนอร่อย กินแล้วจะได้เส้นใยอาหารไปเต็มๆ ทำให้อิ่มท้องนานและเป็นเมนูลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม
  • แก้วมังกรน้ำปลาหวานเมนูง่ายๆ แสนอร่อยสำหรับคนอยากผอม โดยการทำแก้วมังกรน้ำปลาหวาน ให้นำน้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงในหม้อขึ้นตั้งไฟด้วยไฟอ่อนๆ คนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำตาลปี๊บละลายหมด เมื่อน้ำเดือดก็ให้ใส่กลูโคสไซรัปลงไป เคียวสักพัก จากนั้นใส่หอมแดง กุ้งแห้ง และพริกขี้หนูหั่น ตามด้วยการคนแบบเร็วๆ จะทำให้ส่วนผสมมีความหนืดมากขึ้น ปิดไฟ แล้วนำแก้วมังกรมาคว้านเป็นลูกกลมหรือหั่นชิ้นใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำปลาหวานที่เริ่มเย็นแล้ว ก็พร้อมทานได้ทันที
  • แยมแก้มมังกรสำหรับใครที่ชอบทานขนมปังทาแยม ก็ต้องมาทำแยมแก้วมังกรกันเลย ซึ่งนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อแยมสำเร็จรูปแล้ว ยังมากไปด้วยประโยชน์แบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว โดยให้นำแก้วมังกรเนื้อสีม่วงมาคว้านเอาแต่เนื้อ ใส้หม้อเคี่ยวกับน้ำตาลทราย 250 กรัมด้วยไฟอ่อนๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆจนกว่าส่วนผสมจะงวดและแก้วมังกรเละดีแล้ว จากนั้นใส่เจลาตินและน้ำมะนาวลงไป เคี่ยวต่ออีกนิดจนส่วนผสมเนียวข้นดีแล้ว ก็ปิดไฟ รอให้เย็นลงแล้วตักใส่ขวดแช่ในตู้เย็นได้เลย อยากทานเมื่อไหร่ก็เพียงแค่นำออกมาทาบนขนมปังเท่านั้น
  • วุ้นแก้วมังกรเป็นเมนูสุดอร่อยจากแก้วมังกร ที่เหมาะจะนำมากินเป็นอาหารว่างที่สุด โดยเมนูนี้ให้นำผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในน้ำเปล่า 300 มิลลิลิตร แช่ไว้ 10 นาที จากนั้นนำไปตั้งไฟด้วยไฟสูง จนกระทั่งเดือดจึงลดไฟลงให้อยู่ในระดับปานกลาง ใส่น้ำตาลทราย 200 กรัม ลงไป คนให้น้ำตาลละลาย เมื่อน้ำเดือดให้ปรับไฟอ่อนลงและเคี่ยวอีก 10 นาที ยกลงจากเต้า ตั้งพักไว้จนอุ่น นำแก้วมังกรใส่ลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ ตามด้วยเทส่วนผสมวุ้นลงไป จากนั้นนำไปใส่ตู้เย็นเพื่อให้วุ้นเซ็ตตัว แกะออกจากพิมพ์พร้อมทานได้เลย

ข้อควรระวัง

  • สำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้พืชในตระกูลตะบองเพชร และกีวี การรับประทานแก้วมังกรก็อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการทาน
  • คนที่เป็นโรคไตและหัวใจอาจจะต้องระมัดระวัง เพราะแก้วมังกรมีโพแทสเซียมสูง หากร่างกายไม่สามารถที่จะขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้ ก็จะทำให้โพแทสเซียมไปรบกวนการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และส่งผลต่อภาวะหัวใจหยุดเต้น
  • แก้วมังกรเป็นผลไม้ธาตุเย็น หากรับประทานมากจนเกินไปก็อาจทำให้มือและเท้าเย็นผิดปกติได้ โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือนอุณหภูมิในร่างกายจะต่ำลง และหากรับประทานแก้วมังกรในปริมาณมากก็จะไปช่วยปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้ต่ำลงด้วยเช่นเดียวกัน
  • หากรับประทานคู่กับนมสดก็อาจทำให้อาหารย่อยยากหรือไม่ย่อยได้
  • ก่อนปอกเปลือกแก้วมังกรควรล้างเปลือกให้สะอาดเพื่อป้องกันแบคทีเรียเข้าไปที่เนื้อของแก้วมังกร การรับประทานแก้วมังกรควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยควรทานสลับกับผลไม้อื่นด้วยบ่อยๆ เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารจากผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่างหลากหลายพร้อมกันด้วยนั่นเอง ดังนั้น เพียงรับประทานแค่ 1 ลูกก็เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันแล้ว

3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Dragon fruit benefits backed by science. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/324655)
Dragon Fruit Health Benefits & Nutrition. WebMD. (https://www.webmd.com/food-recipes/benefits-dragon-fruit#1)
7 Health Benefits of Dragon Fruit (Plus How to Eat It) (https://www.healthline.com/nutrition/dragon-fruit-benefits)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป