ต่อมน้ำเหลือง (Lymph glands หรือ Lymph Nodes) คือก้อนเนื้อเยื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วที่เก็บรวบรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเกิดการติดเชื้อขึ้น จะทำให้เกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองบวม พบได้ที่ใต้คาง ในลำคอ รักแร้ หรือบริเวณขาหนีบ
ภาวะต่อมน้ำเหลืองบวม สามารถหายไปได้เองเมื่อร่างกายฟื้นตัวจากภาวะติดเชื้อนั้นๆ แต่ในบางครั้งภาวะนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุทางการแพทย์ที่มีความรุนแรงกว่านั้น เช่น โรคข้อต่อรูมาตอยด์อักเสบ (Rheumatoid Arthritis) และโรคมะเร็ง (Cancer)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของภาวะต่อมน้ำเหลืองโต
ภาวะต่อมน้ำเหลืองโต มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียชนิดไม่รุนแรง เช่น
- หวัด
- ทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis)
- โรคไข้และต่อมน้ำเหลืองโต (Glandular Fever)
- การติดเชื้อในลำคอ (Throat Infection)
- การติดเชื้อในหู (Ear Infection)
- ฝีฝัน (Dental Abscess)
- เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis)
หากต่อมน้ำเหลือง มีขนาดโตขึ้นจากภาวะเหล่านี้ มักจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยเช่น เจ็บคอ ไอ มีไข้ แต่ถ้าหากพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาแก้ปวด หรือแก้อักเสบทั่วไป อย่าง พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน การติดเชื้อเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเอง และต่อมน้ำเหลืองก็จะลดขนาดลงเป็นปกติโดยไม่ต้องไปพบแพทย์
ในบางครั้ง ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตก็อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคดังต่อไปนี้
- โรคหัดเยอรมัน (Rubella) : การติดเชื้อที่ทำให้ผิวหนังเกิดผื่นจุดสีชมพูขนาดเล็กขึ้น
- โรคหัด (Measles) : การติดเชื้อจากไวรัสที่ทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลหรือสีแดงขึ้นบนผิวหนัง
- Cytomegalovirus (CMV) : ภาวะที่เชื้อไวรัสแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งของร่างกาย เช่น น้ำลายและปัสสาวะ
- วัณโรค (Tuberculosis (TB)) : ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่แพร่เชื้อได้จากการไอ
- ซิฟิลิส (Syphilis) : ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
- โรคแมวข่วน (Cat Scratch Disease) : การติดเชื้อแบคทีเรียจากการข่วนของแมวที่มีเชื้อ
- HIV : ไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันและกดความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อ
- โรคพุ่มพวง (Lupus) : โรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าโจมตีข้อต่อ ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือด และอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
- โรคข้อต่อรูมาตอยด์อักเสบ (Rheumatoid Arthritis) : โรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเยื่อบุเนื้อเยื่อข้อต่อ
- โรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis) : ภาวะที่ทำให้เกิดปื้นเนื้อเยื่อสีแดง (Granulomas) บนอวัยวะของร่างกาย
บางกรณี การเกิดภาวะต่อมน้ำเหลืองบวมก็อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งที่เกิดส่วนอื่นของร่างกายแต่มีการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองก็ได้ หรืออาจจะเกิดจากมะเร็งชนิดที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอกด์กิ้น (Non-Hodgkin Lymphoma) หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดซีแอลแอล (Chronic Lymphocytic Leukaemia) ก็เป็นได้
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
หากมีภาวะต่อมน้ำเหลืองโตร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- ต่อมน้ำเหลืองไม่มีทีท่าว่าจะลดขนาดลงเมื่อผ่านไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ หรือมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
- รู้สึกว่าบริเวณที่บวมเป็นก้อนแข็งและไม่เคลื่อนที่เมื่อกดลงไป
- มีอาการเจ็บคอจนทำให้กลืนหรือหายใจลำบาก
- น้ำหนักลดอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มีอาการเหงื่อออกกลางดึก หรือมีไข้สูงต่อเนื่อง
- ไม่ได้มีภาวะติดเชื้อที่สังเกตเห็นได้ แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบาย
หากแพทย์คาดว่าคุณมีภาวะต่อมน้ำเหลืองบวม ก็อาจมีการพิจารณาให้ตรวจเพิ่มเติม ซึ่งอาจเป็นทั้งการตรวจเลือด (Blood Test) การสแกนอัลตราซาวด์ (Ultrasound Scan) การสแกนคอมพิวเตอร์ (Computerised Tomography (CT) Scan) หรือการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy)