ไซนัสอักเสบคืออะไร
ไซนัสอักเสบ หรือภาวะโพรงจมูกอักเสบ (Sinusitis) เป็นการอักเสบของเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก หรือเรียกอีกชื่อว่า "ไซนัส" (Paranasal Sinuses)
สาเหตุของไซนัสอักเสบ
ไซนัสอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสดังต่อไปนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- เชื้อแบคทีเรียฮีโมฟิลัส อินฟลูเอนซ่า (Heamophilus influenza)
- เชื้อแบคทีเรียเสต็ปโทโคคัส นิสโมเนีย (Streptococcus Pneumonia)
- เชื้อแบคทีเรียมอราเซลลา (Morasella catarrhaalis)
- เชื้อแบคทีเรียแอนแอโรบ (Anaerobes)
- เชื้อไวโนไวรัส (Rhinovinus)
- เชื้ออะดีโนไวรัส (Adenovirus)
เชื้อที่กล่าวมาข้างต้น มักจะเกิดตามหลังโรคไข้หวัดซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดการอักเสบเฉียบพลันและเกิดเป็นเชื้อรา 3 ชนิด ได้แก่
- เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ไนเจอร์ (Aspergillus niger)
- เชื้อรามิวคอร์ (Mucor)
- เชื้อราแคนดิดา (Candida)
เชื้อราทั้ง 3 ชนิดที่กล่าวไปข้างต้น มักพบในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ โดยเชื้อจะเข้าสู่เยื่อบุจมูกผ่านช่องทางต่อไปนี้
- ผ่านรูเปิดเข้าสู่เยื่อบุจมูก
- ผ่านทางรากฟันที่ยาวเข้าสู่เยื่อบุจมูกที่โหนกแก้ม (Maxillary sinuses) ซึ่งพบในผู้ป่วยรายที่รากฟันอักเสบเป็นหนอง
- จากการถอนฟันกรามบน
- การใส่ท่อช่วยหายใจ
- การใส่สายอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร
- เป็นต่อมทอนชิลและต่อมอดรีนอย (Adenoid) โต
- ผนังจมูกเบี้ยว
- มีเนื้องอกในจมูก
- เพดานโหว่
- เป็นผู้ที่ว่ายน้ำบ่อยๆ
- โรคหลอดลมโป่งพอง
- โรคหอบหืด
พยาธิสภาพของไซนัสอักเสบ
พยาธิสภาพ หรือความผิดปกติของร่างกายเมื่อเกิดไซนัสอักเสบ จะเกิดจากมีเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสเข้าสู่เยื่อบุจมูก และทำให้รูเปิดระหว่างเยื่อบุจมูกและจมูกเกิดการอุดตันขึ้น หรือมีปริมาณน้ำเมือกเพิ่มมากขึ้นและเหนียวขึ้น โดยกระบวนการพยาธิสภาพจะเริ่มตั้งแต่
- มีการติดเชื้อจากจมูกเข้าสู่เยื่อบุจมูก ซึ่งส่วนใหญ่เชื้อโรคจะผ่านเข้าทางรูเปิด หรือเกิดจากสิ่งสกปรกเข้าจมูก เช่น
- จากการว่ายน้ำหรือดำน้ำที่สกปรก
- เชื้อโรคเข้าทางเยื่อบุจมูกที่โหนกแก้ม โดยผ่านทางรากฟันที่มีการอับเสบเป็นหนอง
- การถอนฟัน
- ผู้ป่วยที่ใส่สายยางให้อาหารผ่านทางจมูก
- เกิดความไม่สมดุลภายในโพรงอากาศซึ่งทำให้แบคทีเรียที่มีอยู่เจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้น
- การอักเสบและติดเชื้อซึ่งเกิดขึ้นในเยื่อบุจมูก จะส่งผลให้เยื่อบุจมูกเกิดอาการบวม รูเปิดเกิดการอุดตัน และจะสร้างน้ำเมือกออกมามากขึ้น แต่จะค้างอยู่ข้างใน ไม่สามารถระบายออกได้
- เมื่อน้ำเมือกเกิดการสะสมมากๆ จะทำให้ออกซิเจนในโพรงเยื่อบุจมูกถูกดูดซึม และเกิดความดันลบขึ้น
- เมื่อของเหลวค้างอยู่ด้านในโพรงจมูกเป็นจำนวนมาก จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด และอยู่ในสภาวะที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- เมื่อจำนวนแบคทีเรียมีเพิ่มมากขึ้น ก็จะไปยับยั้งการทำงานของส่วนเซลล์ซีเลีย (Cilia) ซึ่งทำหน้าที่คอยโบกสะบัดให้สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเคลื่อนที่ได้ รวมทั้งช่วยกำจัดฝุ่นละอองและเมือก นอกจากนี้ แบคทีเรียยังจะไปยับยั้งการทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวด้วย
- จากผลกระทบของแบคทีเรียที่ไปโจมตีระบบร่างกายของผู้ป่วย น้ำมูกของผู้ป่วยจะกลายเป็นหนอง และทำให้เกิดการหายใจที่ติดขัดขึ้น รวมถึงทำให้เกิดอาการข้างเคียงอื่นๆ ตามมา
อาการของผู้ป่วยไซนัสอักเสบ
- ปวดศีรษะและปวดบริเวณเยื่อบุจมูกมาก
- มีอาการคัดจมูก
- มีไข้สูง
- รู้สึกกดเจ็บที่หน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก หรือบริเวณเยื่อบุจมูกที่อักเสบ
- หน้าบวมบริเวณเยื่อบุจมูกที่อักเสบ และบวมรอบตา เยื่อจมูกบวมแดง
- มีน้ำมูก หรือมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว รวมทั้งมีน้ำมูกไหลลงไปในคอ
- การรับรู้กลิ่นน้อยลงหรือไม่ได้กลิ่นเลย
- หายใจทางจมูกได้ลำบาก
- หากอาการไซนัสอักเสบเกิดจากเชื้อรา จะพบก้อนเชื้อราสีดำ เขียว หรือเป็นเนื้อตาย
- หายใจมีกลิ่นเหม็น
- อ่อนเพลีย
- ปวดฟัน
- หูอื้อ
การวินิจฉัยโรค
แพทย์จะวินิจฉัยอาการไซนัสอักเสบด้วยอาการต่อไปนี้
- เป็นหวัดมามากกว่า 7-10 วัน และมีอาการรุนแรงมากกว่าโรคหวัดธรรมดา
- มีอาการปวดบริเวณเยื่อบุจมูกที่มีการอักเสบ
- น้ำมูกหรือเสมหะเป็นหนองสีเขียวข้น
- ผู้ป่วยมีอาการคัดจมูก
- การรับรู้กลิ่นต่างๆ ลดลง
- ปวดฟัน
- มีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย
- ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
- น้ำมูกไหลลงคอแทนการออกทางจมูก โดยเฉพาะเวลาล้มตัวลงนอน
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย และมักจะปวดมากในเวลากลางวัน
- ตรวจพบเยื่อจมูกบวม และแดง
- ตรวจหลังโพรงจมูกแล้วพบหนอง
- เมื่อกดหรือเคาะบริเวณเยื่อบุจมูกที่มีการอักเสบจะรู้สึกเจ็บมาก
- เจาะเลือดตรวจแล้วพบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดขาวสูง
- ตรวจเพาะเชื้อจากน้ำ หรือหนองที่เจาะจากเยื่อบุจมูก แล้วพบเชื้อแบคทีเรียประมาณ 80%
- ถ่ายภาพรังสีเยื่อบุจมูกแล้วพบว่ามีสีทึบ หรือเห็นระดับน้ำในเยื่อบุจมูกที่มีการอักเสบ
การรักษา
การรักษาไซนัสอักเสบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำหรือหนองออกจากเยื่อบุจมูก รวมทั้งควบคุมการอักเสบ และลดอาการปวด โดยแพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วยประมาณ 3 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยไซนัสชนิดเรื้อรัง ก็อาจมีการจ่ายยาเพิ่มมากกว่า 3 สัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมด เช่น
- อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin)
- อะม็อกซีซิลลิน คลาวูลาเนท (Amoxicillin clavulanate)
- เซฟาโลสปอริน (Cephalosporin)
- อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
- ยาหดหลอดเลือด (Decongestant)
- ยาสเตียรอยด์ (Steroid)
- ยาต้านฮิสทามีน (Antihistamine)
นอกจากนี้ ยังมีรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น
- เจาะล้างเยื่อบุจมูก (Antral irrigation) ซึ่งเป็นการล้างเอาหนองออกเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือเพื่อเอาหนองมาตรวจวินิจฉัย
- ทำรูเปิดอย่างถาวร (Antrostomy) เพื่อให้หนองไหลออกจากเยื่อบุจมูกที่โหนกแก้ม
- ผ่าตัดเปิดรูผ่านเหงือกใต้ริมฝีปากบนเข้าสู่เยื่อบุจมูกที่โหนกแก้มข้างที่มีการอักเสบให้กว้างพอ (Caldwell-Luc operation) เป็นการผ่าตัดเพื่อตรวจดูสภาพของเยื่อบุจมูก
- ผ่าตัดโดยใส่กล้องผ่านทางช่องจมูกเข้าสู่เยื่อบุจมูก (Functional Endoscopic Sinus Surgery: FESS) เพื่อเอาสิ่งคัดหลั่งและเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกมา
- ผ่าตัดเหนือกระดูกเอทมอยด์ (Ethmoidectomy) สำหรับผู้ป่วยรายที่มีอาการปวดศีรษะมาก เนื่องจากมีการอักเสบของโพรงจมูกเอทมอยด์ที่ข้างตา (Ethmoid sinuses)
การพยาบาลผู้ป่วยไซนัสอักเสบ
จุดประสงค์หลักในการดูแลผู้ป่วยไซนัสอักเสบก็คือ การป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อเกิดขึ้น และทำให้ผู้ป่วยมีการหายใจที่คล่องขึ้น สามารถระบายหนองที่อยู่ในเยื่อบุจมูกให้น้อยลงได้ และลดอาการปวดอักเสบต่างๆ ให้ทุเลาลง โดยมีวิธีการดูแลดังต่อไปนี้
- ดูแลให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก และลดอาการปวดโดยจัดให้นอนศีรษะสูง
- ให้ยาลดบวม และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ
- หากผู้ป่วยมีวัสดุห้ามเลือดในโพรงจมูก (Nasal packing) ในกรณีเพิ่งรักษาผ่านการผ่าตัดมา ให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน
- ให้ผู้ป่วยบ้วนปาก และกลั้วคอบ่อยๆ
- ห้ามผู้ป่วยสั่งน้ำมูกแรงๆ ห้ามกลั้นหายใจหรือออกแรงเบ่ง
- ให้ผู้ป่วยประคบจมูกด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น เพื่อช่วยให้หนองระบายออกได้ดีขึ้น แต่หากเป็นผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัด ให้ประคบด้วยความเย็นบริเวณจมูกและหน้าผากแทน
- ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดอาการอักเสบ
- ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ
- แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงจากควันบุหรี่ ควันธูป ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม สารระเหยต่างๆ ที่ทำให้ระคายเคืองจมูก เช่น สีทินเนอร์ น้ำมันเบนซิน กาว
- แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากคนรอบข้าง โดยอย่าอยู่ในที่แออัด อย่าว่ายน้ำในสระน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สิ่งที่แพ้ เช่น ไรฝุ่น ขนสุนัข ขนแมว แมลงสาป เชื้อรา ละอองเกสรดอกไม้ ดอกหญ้า เป็นต้น
วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
การล้างจมูก เป็นการทำความสะอาดเยื่อบุโพรงจมูกเพื่อขับน้ำหนอง น้ำมูก และสิ่งสกปรกต่างๆ ในโพรงจมูกให้ออกไป และยังเป็นการเพิ่มความชื้นให้กับเยื่อบุจมูกอีกด้วย ซึ่งหลังจากล้างจมูกแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจโล่งขึ้น เนื่องจากการล้างจมูกจะช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ลดจำนวนเชื้อโรค สิ่งระคายเคืองต่างๆ และยังช่วยป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคที่อาจส่งไปถึงปอดได้ โดยขั้นตอนการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้
- เตรียมน้ำเกลือชนิดธรรมดา (Normal saline) ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ที่ 0.9% หรือผสมน้ำเกลือขึ้นเองโดยใช้น้ำสะอาดที่ต้มสุกในปริมาณ 500 มิลลิลิตร กับเกลือสะอาด 1 ช้อนชา
- เทน้ำเกลือลงในแก้วสะอาด
- ดูดน้ำเกลือโดยใช้หลอดฉีดยาขนาด 10 มิลลิลิตร หรือลูกยาง
- ให้ผู้ป่วยก้มหน้า กลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ พ่นน้ำเกลือเข้าไปในจมูกอย่างช้าๆ ทำทีละข้าง จะมีน้ำมูกไหลออกมา และจะช่วยล้างเอาฝุ่นกับสิ่งสกปรกอื่นๆ ออกมาด้วย
- ทำซ้ำจนน้ำมูกหมด โดยทำวันละ 2-3 ครั้ง แล้วแต่ปริมาณของน้ำมูก หรือตามคำแนะนำของแพทย์
เยื่อจมูกอักเสบมีโอกาสเป็นไซนัสหรือเปล่าค่ะ