ยาแก้ปวดหัว กินมากไปก็ไม่ดี

เคยไหม? กินยาแก้ปวดหัวเมื่อมีอาการ แต่กลับทำให้รู้สึกดีขึ้นเพียงระยะสั้นๆ จากนั้นก็กลับมามีอาการซ้ำอีกเรื่อยๆ เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจจะกำลังเผชิญกับ “โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน” ก็เป็นได้
เผยแพร่ครั้งแรก 20 ธ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
ยาแก้ปวดหัว กินมากไปก็ไม่ดี

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ยาที่นิยมใช้กันในการรักษาอาการปวดหัวทั่วไปคือ พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน และนาพรอกเซน ซึ่งสามารถออกฤทธิ์แก้ปวดหัวได้จริง
  • การกินยาเหล่านี้บ่อยเกินไป หรือเกินกว่า 15 วันต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกันขึ้นไป อาจทำให้เกิดอาการ "ปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน"
  • โดยจะทำให้ผู้ที่ใช้ยาเกินมีอาการปวดหัวเรื้อรังนานกว่าหรือมากกว่า 15 วันต่อเดือนเช่นกัน นอกจากนี้อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรืออาการทางจิตเวชร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
  • วิธีรักษาอาการ สามารถหยุดยาได้ทันทีแต่อาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อย เช่น คลื่นไส้ แต่อาการจะค่อยๆ หายไปเอง แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถหยุดยาได้ เช่น โรคซึมเศร้า อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น การตรวจสุขภาพกับแพทย์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกัน
  • ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ที่นี่

อาการปวดหัว นับว่าเป็นหนึ่งในอาการทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆ คน โดยปกติแล้วอาการปวดหัวบางชนิดสามารถหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หลายคนยังเลือกรับการรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ปวดหัวเพราะคิดว่าจะได้หายเร็ว

แน่นอนว่ายาแก้ปวดชนิดต่างๆ ล้วนแล้วแต่ออกฤทธิ์ช่วยในการระงับและบรรเทาอาการปวด แต่รู้หรือไม่ว่า หากคุณรับประทานยาแก้ปวดหัวมากเกินไป อาจทำให้คุณกลับมาปวดหัวซ้ำอีกได้ไม่รู้จบ หรือที่เรียกกันว่า “โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน”

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

จากการศึกษาพบว่า มีผู้ป่วยประมาณ 2 จาก 100 คนที่มีอาการปวดหัวอันมีสาเหตุมาจากการใช้ยาเกินขนาด โดยส่วนมากเป็นเพศหญิง หรือผู้ที่มีความตึงเครียดและภาวะโรคซึมเศร้า เป็นต้น

โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกินคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร?

โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (Medication overuse headaches) จัดว่าเป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่เป็นผลมาจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป ได้แก่ ยาแก้ปวดอะเซตามิโนเฟ่น (Acetaminophen หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อพาราเซตามอล) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และนาพรอกเซน (naproxen)

ยาแก้ปวดเหล่านี้มักเป็นยาที่ออกฤทธิ์เพียงระยะสั้น ดังนั้นในบางกรณีเมื่อยาหมดฤทธิ์ แต่ผู้ป่วยยังมีอาการปวดอยู่ จึงทำให้ผู้ป่วยใช้ยาต่อเนื่องและเกินขนาด ซึ่งหากผู้ป่วยใช้ยาเหล่านี้มากกว่า 15 วันต่อเดือน ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกินได้

อาการของโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน

ถึงแม้ว่าอาการปวดหัวโดยทั่วไปจะสามารถจำแนกได้ยาก แต่ผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกินมักมีอาการปวดศีรษะทุกวัน ตำแหน่งและความรุนแรงของอาการมักจะแตกต่างกันตามแต่ละกรณี

อาจปวดเช่นเดียวกับอาการปวดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ โดยส่วนมากจะมีลักษณะปวดตื้อๆ บีบๆ ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องมีมากกว่า 15 วันต่อเดือน และมีประวัติการใช้ยาแก้ปวดต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน

อย่างไรก็ดี ในผู้ป่วยบางรายอาจมีกลุ่มอาการนอกเหนือจากการปวดหัวร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน นอนไม่หลับ และท้องผูก ตลอดจนอาการทางระบบประสาทหรือทางจิตเวช เช่น หงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย ซึมเศร้า สมาธิไม่ดี เป็นต้น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การรักษาโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน

โดยปกติแล้ว หากผู้ป่วยหยุดการใช้ยาแก้ปวดทันที การแสดงอาการของโรคอาจคงที่หรือแย่ลงชั่วคราว เช่น มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดเมื่อยตามร่างกาย วิตกกังวล หงุดหงิด เป็นต้น จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้

ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการของโรค เช่น ความเครียด

อย่างไรก็ดี ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวจากโรคอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว และไม่สามารถหยุดใช้ยาได้เลยทันที เช่น โรคไมเกรน โรคซึมเศร้า เหล่านี้อาจเริ่มจากการค่อยๆ ลดปริมาณการใช้ หรือหายากลุ่มใกล้เคียงมาทดแทน โดยจำเป็นจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษา

การป้องกันโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน

เพื่อให้การใช้ยาแก้ปวดหัวเป็นไปอย่างปลอดภัย ควรคำนึงถึงแนวทางการใช้ยาดังต่อไปนี้

  • รับประทานยาแก้ปวดหัวเมื่อจำเป็น หรือตามแต่อาการ แต่ไม่ควรเกิน 2-3 วันต่อสัปดาห์ หรือน้อยกว่า 10 ครั้งต่อเดือน ควรปรึกษาแพทย์ หากจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดหัวเกิน 2 วันต่อสัปดาห์

  • หากมีอาการปวดหัวมากกว่า 4 วันต่อเดือน ควรรีบพบแพทย์ เพื่อหาแนวทางการรักษา

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มบิวตาลบิตาล (Butalbital) หรือโอพิออยด์ (Opioids)

  • หลีกเลี่ยงสาเหตุอันก่อให้เกิดอาการปวดหัว เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด

ถึงแม้ว่าการใช้ยาแก้ปวดหัว จะมีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายาแก้ปวดหัวนั้นเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นการรู้จักวิธีใช้ยาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้น ยาแก้ปวดอาจแปลเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้ปวดหัวได้ในที่สุด

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Thammasat Medical Journal, โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (http://medtu.tv/tmj/wp-content/uploads/2018/12/619-624.pdf).
Harvard Medical School, Stopping the vicious cycle of rebound headaches (https://www.health.harvard.edu/blog/stopping-the-vicious-cycle-of-rebound-headaches-2019110718180), 7 November 2019.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป