ภาวะทุพโภชนาการเป็นภาวะร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคุณไม่ได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิต
คำว่า “ทุพโภชนาการ” นั้นหมายถึงโภชนาการที่ไม่ดี ซึ่งยังสื่อถึง:
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ภาวะโภชนาการต่ำ: เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ
ภาวะโภชนาการเกิน: เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารมากกว่าที่ร่างกายต้องการ
ข้อมูลต่อไปนี้จะเน้นไปยังภาวะโภชนาการต่ำเป็นอันดับหนึ่ง
ใครสามารถประสบกับภาวะทุพโภชนาการได้บ้าง?
ภาวะทุพโภชนาการเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นบ่อย โดยคาดประมาณว่ามีประชากรในประเทศอังกฤษที่มีภาวะโภชนาการผิดปกตินี้ 3 ล้านคน และมีอีกหลายล้านคนที่มีความเสี่ยง
จากข้อมูลข้างต้น ผู้ที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือที่บ้านหนึ่งในสามถูกวินิจฉัยว่าเป็นหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ
ภาวะทุพโภชนาการเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือมีปัญหาที่ระบบดูดซึมสารอาหาร แต่ก็มีอีกหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะนี้ขึ้นรวมไปถึงความเกียจคร้าน ภาวะสุขภาพระยะยาว หรือมีรายได้ต่ำ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สัญญาณของภาวะทุพโภชนาการ
อาการที่พบได้บ่อยของภาวะทุพโภชนาการคือมีน้ำหนักลดลงโดยไม่ตั้งใจ (เสียมวลร่างกายไป 5-10% ภายในช่วงเวลาสามถึงหกเดือน) สัญญาณอื่น ๆ มีดังนี้: กล้ามเนื้ออ่อนแอ รู้สึกเหนื่อยล้าตลอดเวลา อารมณ์ไม่ดี โอกาสเจ็บป่วยหรือติดเชื้อเพิ่มขึ้น
สัญญาณหลักของภาวะโภชนาการเกินคือมีน้ำหนักร่างกายมากหรือมีภาวะอ้วน แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะโภชนาการต่ำก็สามารถมีน้ำหนักตัวมากได้เช่นกันหากว่าพวกเขาชอบรับประทานแต่อาหารพลังงานสูง (แคลอรี) แต่มีการทานอาหารประเภทอื่นน้อย
สัญญาณของภาวะทุพโภชนาการในเด็กมีทั้งการเจริญเติบโตน้อยกว่าที่ควรเป็นและพฤติกรรมเปลี่ยน อย่างเช่นมีอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปรกติ ขี้เกียจ หรือวิตกกังวล
น้ำหนักและพัฒนาการทางร่างกายของเด็กควรถูกประเมินโดยแพทย์เป็นประจำตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ให้ปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญหากว่าคุณมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพหรือพัฒนาการของลูกคุณ
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
ให้ไปพบแพทย์หากว่าดัชนีมวลกาย (BMI) มีค่าน้อยกว่า 18.5 หรือคุณสังเกตเห็นอาการของภาวะที่กล่าวมาข้างต้น
BMI เป็นตัวชี้วัดว่าคุณมีน้ำหนักสอดคล้องกับความสูงของคุณหรือไม่ คุณสามารถใช้แผนผัง BMI ในการคำนวณและตรวจสอบค่า BMI ของคุณได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
คุณควรเข้าพบแพทย์หากคุณหรือผู้อื่นมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ แพทย์จะสามารถตรวจหาสัญญาณของภาวะทุพโภชนาการและภาวะอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการได้
การรักษาภาวะทุพโภชนาการ
การรักษาภาวะทุพโภชนาการจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะรายบุคคลและความรุนแรงของภาวะ ซึ่งการรักษาสามารถดำเนินการขึ้นตามโรงพยาบาลหรือที่บ้านก็ได้
การเปลี่ยนการบริโภคอาหารเป็นการรักษาภาวะทุพโภชนาการที่ง่ายที่สุด หากคุณมีภาวะโภชนาการต่ำ คุณจำต้องเพิ่มปริมาณสารอาหารที่คุณได้รับจากการรับประทานอาหาร หรือทานอาหารเสริมโภชนาการเพิ่มเข้าไป
หากคุณไม่สามารถทานอาหารได้ตรงตามความต้องการของร่างกาย คุณอาจต้อง: เปลี่ยนไปใช้วิธีรับสารอาหารทางหลอดที่สอดเข้าสู่ระบบย่อยอาหารของคุณโดยตรง หยดยาที่อุดมด้วยสารอาหารและของเหลวเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง
การป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการ
วิธีการป้องกันภาวะทุพโภชนาการที่ดีที่สุดคือการทานอาหารให้ถูกสุขภาพและสมดุล
การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสมดุลเป็นหลักการเพื่อคงสภาพและความแข็งแรงร่างกายที่สำคัญที่สุด ในการที่คุณจะมีร่างกายที่แข็งแรง คุณต้องทานอาหารที่หลากหลายจากสารอาหารทั้งห้าหมู่ ซึ่งรวมไปถึง: การทานผักผลไม้เยอะ ๆ ทานขนมปัง ข้าว มันฝรั่ง และอาหารจำพวกแป้งเยอะ ๆ ทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์และนมในปริมาณที่พอเหมาะ ทานเนื้อ ปลา ไข่ ถั่ว และอาหารอุดมโปรตีนอื่น ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ
อาการของภาวะทุพโภชนาการ
อาการของภาวะทุพโภชนาการที่พบได้บ่อยคือน้ำหนักร่างกายหายไปโดยไม่ตั้งใจหรือไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้
ผู้ใหญ่
หากคุณเสียน้ำหนักร่างกายไป 5-10% ภายในเวลาสามถึงหกเดือนโดยที่คุณไม่ได้พยายามลดน้ำหนักอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการได้
บางครั้งการสูญเสียน้ำหนักร่างกายไปก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพราะว่าภาวะเช่นนี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ คุณอาจสังเกตเห็นเมื่อเสื้อผ้า เข็มขัด และเครื่องประดับที่คุณใส่เป็นประจำหลวมกว่าเดิม
สัญญาณอื่น ๆ ของภาวะทุพโภชนาการมีดังนี้: รู้สึกหมดแรงและเหนื่อยตลอดเวลา ประสบกับภาวะติดเชื้อบ่อย ๆ การติดเชื้อที่ประสบใช้เวลานานกว่าจะหาย แผลสมานตัวช้า สมาธิไม่ดี ทำความอบอุ่นให้ร่างกายลำบาก มีภาวะซึมเศร้า
วิธีที่จะประเมินว่าคุณมีภาวะทุพโภชนาการหรือไม่คือการคำนวณดัชนีมวลกายของตนเอง (BMI) โดย BMI จะเป็นการวัดที่แสดงให้เห็นว่าคุณมีน้ำหนักสอดคล้องกับส่วนสูงของคุณหรือไม่
ผู้ใหญ่ส่วนมากที่มี BMI ในเกณฑ์สุขภาพดีจะมีค่าอยู่ระหว่าง 18.5 กับ 24.9 หากน้อยกว่านั้นอาจสื่อได้ว่าคุณมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการสูง กระนั้นคุณก็อาจถูกพิจารณาว่ามีความเสี่ยงหากมีค่า BMI ระหว่าง 18.5 กับ 20 อยู่ดี
สิ่งที่คุณต้องพึงจำคือ BMI และน้ำหนักตัวที่หายไปไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ภาวะทุพโภชนาการเพียงอย่างเดียว ผู้ป่วยบางคนที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักร่างกายสูงก็สามารถเป็นภาวะทุพโภชนาการได้เนื่องจากการรับประทานแต่อาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมันและน้ำตาลสูง แต่มีการทานอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ อย่างวิตามินและแร่ธาตุต่ำ
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
ให้ไปพบแพทย์หากว่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของคุณน้อยกว่า 18.5 คุณเสียน้ำหนักร่างกายไปมากกว่า 5-10% จากปกติในช่วงสามถึงหกเดือน หรือคุณประสบกับอาการที่กล่าวไปข้างต้น
เด็ก
อาการของภาวะทุพโภชนาการในเด็กมีดังนี้: อัตราการเจริญเติบโตไม่ถูกต้อง ทั้งเรื่องของน้ำหนักและส่วนสูง (เลี้ยงไม่โต) พฤติกรรมเปลี่ยน อย่างเช่นมีอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ ขี้เกียจ หรือวิตกกังวล สีผมและสีผิวเปลี่ยน
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
น้ำหนักและพัฒนาการทางร่างกายของเด็กควรถูกประเมินโดยแพทย์เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กเล็ก
ให้ติดต่อแพทย์ทันทีหากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพหรือพัฒนาการของลูกคุณ
สาเหตุของภาวะทุพโภชนาการ
สาเหตุการเกิดภาวะทุพโภชนาการเป็นได้ทั้งการรับประทานอาหารไม่เพียงพอหรือปัญหาการดูดซึมสารอาหารจากอาหารก็ได้
ภาวะทางการแพทย์
ภาวะทางการแพทย์ที่นำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการมีดังนี้:
ภาวะที่ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง อย่างเช่นมะเร็ง โรคตับ อาการปวดหรือคลื่นไส้ต่อเนื่อง
ภาวะทางจิต อย่างเช่นภาวะซึมเศร้า หรือโรคจิตเภทที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูแลตนเอง
ภาวะสุขภาพที่จำต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ
ภาวะสุขภาพที่ยับยั้งความสามารถในการย่อยและดูดซับสารอาหาร อย่างเช่นโรคโครห์น หรือแผลในกระเพาะอาหาร
สมองเสื่อม: ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมไม่สามารถสื่อสารความต้องการของพวกเขาได้
อาการกลืนลำบาก: ภาวะที่ทำให้การกลืนยากลำบากหรือมีความเจ็บปวดขณะกลืน
อาการอาเจียนหรือท้องร่วงต่อเนื่อง
โรคการกินผิดปรกติ อย่างเช่นโรคอะนอเร็กเซีย
การใช้ยาบางประเภทอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการขึ้นได้เช่นกัน โดย ณ ขณะนี้มียามากกว่า 250 ประเภทที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูดซับและย่อยสลายสารอาหารของร่างกาย
คุณอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการเพิ่มขึ้นหากว่าร่างกายมีความต้องการพลังงานมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นคุณกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัดใหญ่หรือหลังการบาดเจ็บร้ายแรงเช่นการถูกไฟเผา หรือคุณประสบกับการเคลื่อนไหวนอกเหนืออำนาจจิตใจอย่างเช่นอาการสั่น เป็นต้น
ปัจจัยทางกายภาพ
ตัวอย่างปัจจัยทางร่างกายที่ส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการมีดังนี้:
ถ้าฟันของคุณมีสภาพไม่ดีหรือหากฟันปลอมไม่เข้าที่ จะทำให้การเคี้ยวอาหารลำบากหรือสร้างความเจ็บปวดขึ้น
หากคุณสูญเสียประสาทรับกลิ่นหรือรับรส คุณอาจสูญเสียความอยากอาหารไปด้วยเช่นกัน
ความพิการทางร่างกายหรือความทุพพลภาพที่ทำให้การทำอาหารหรือจัดหาอาหารด้วยตนเองลำบากขึ้น
ปัจจัยทางสังคม
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการมีดังนี้:
อาศัยอยู่ตัวคนเดียวและไม่ชอบเข้าสังคม
มีความรู้เรื่องสารอาหารหรือการประกอบอาหารน้อย
มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย
ติดแอลกอฮอล์หรือยาเสพติด
ยากจนหรือมีรายได้ต่ำ
เด็ก
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการกับเด็กคือการเป็นภาวะสุขภาพระยะยาวที่: ส่งผลให้ความอยากอาหารลดน้อยลง ยับยั้งกระบวนการย่อยอาหารของร่างกายตามปกติ ทำให้ร่างกายมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างของภาวะเหล่านี้มีทั้งมะเร็งวัยเด็ก โรคหัวใจแต่กำเนิด โคซิสติก ไฟโบรซิส และโรคสมองพิการ
ภาวะทุพโภชนาการในเด็กมักเกิดกับเด็กที่ถูกละเลย อาศัยอยู่อย่างยากจน หรือถูกทำร้ายจากคนรอบข้าง บางครั้งภาวะทุพโภชนาการในเด็กก็เกิดขึ้นเนื่องจากเด็กเลี่ยงจะรับประทานอาหารเพราะกังวลเรื่องรูปลักษณ์ของตนเอง
การวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการ
จะมีการนำปัจจัยหลายอย่างเข้ามาพิจารณาในการตรวจสอบว่าคนคนนั้นเป็นภาวะทุพโภชนาการหรือไม่ หรือความเสี่ยงสูงหรือไม่
สำหรับผู้ใหญ่ ปัจจัยที่นำมามีดังนี้:
ดัชนีมวลกาย (BMI): ตัววัดที่สามารถใช้ชี้วัดว่าคุณมีน้ำหนักตามเกณฑ์ผู้มีสุขภาพดีตามความสูงหรือไม่
คุณมีน้ำหนักร่างกายลดหายไปโดยไม่ตั้งใจในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหรือไม่
คุณมีภาวะเจ็บป่วยที่ทำให้คุณไม่สามารถรับประทานอาหารหรือดูดซับสารอาหารหรือไม่
คุณมักจะถูกพิจารณาว่าเป็นภาวะทุพโภชนาการหากมี BMI น้อยกว่า 18.5 หรือคุณมีการสูญเสียน้ำหนักมากกว่า 5% ของน้ำหนักร่างกายในช่วงสามถึงหกเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีแพทย์ก็อาจคาดว่าคุณมีภาวะทุพโภชนาการได้หากว่าคุณมีค่า BMI ระหว่าง 18.5 กับ 20
แพทย์พิจารณาว่าคุณมีความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการสูงหากว่า:
คุณมีภาวะเจ็บป่วยที่ทำให้คุณทานอาหารได้น้อยลงในช่วงห้าวันที่ผ่านมา หรือคุณมีความเสี่ยงที่จะทานอาหารไม่ลงในช่วงห้าวันข้างหน้า
คุณมีการดูดซึมสารอาหารได้ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นคุณมีภาวะอย่างโรคโครห์นที่ทำให้ระบบย่อยอาหารอักเสบ
คุณมีภาวะที่อาจทำให้ร่างกายต้องใช้สารอาหารมากขึ้นหรือทำให้ร่างกายมีความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น
คุณมีอาการกินหรือดื่มลำบาก
ส่วนภาวะขาดแร่ธาตุหรือวิตามินสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจเลือด
การวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการในเด็ก
การวินิจฉัยภาวะทุพโภชนาการในเด็กจะดำเนินด้วยการวัดค่าน้ำหนักและส่วนสูงก่อนนำค่าทั้งสองที่ได้มาเทียบกับค่าส่วนสูงและน้ำหนักมาตรฐานสำหรับเด็กในวัยนั้น ๆ
เด็กบางคนอาจมีค่าต่ำกว่ามาตรฐานเพราะเกิดมาตัวเล็กตามธรรมชาติ ซึ่งหากค่าที่ได้มีน้อยกว่าระดับที่ควรเป็นมากจะบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการที่สูงมากตาม
การตรวจเลือดก็สามารถใช้เพื่อวัดระดับโปรตีนในเลือดได้ ซึ่งระดับโปรตีนที่ต่ำอาจบ่งบอกถึงภาวะทุพโภชนาการในเด็ก
การรักษาภาวะทุพโภชนาการ
การรักษาภาวะทุพโภชนาการจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดภาวะและผู้ป่วยขาดสารอาหารในรูปแบบไหน
แพทย์อาจแนะนำให้คุณกลับบ้านไปดูแลตนเองตามคำแนะนำ หรือเริ่มการรักษาที่บ้านโดยมีนักโภชนาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพคอยกำกับอยู่ก็ได้ บางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้คุณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแทน
การรักษาภาวะทุพโภชนาการที่บ้าน
หากคุณต้องการรักษาภาวะทุพโภชนาการที่บ้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะคอยช่วยเหลือคุณด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารการกินที่คุณควรได้รับในแต่ละมื้อ
แผนการรับประทานอาหารจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนบุคคล แต่ส่วนมากมักจะแนะนำให้คุณเพิ่มปริมาณพลังงานที่ควรได้รับ (แคลอรี) โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ของเหลว และวิตามินกับเกลือแร่ เป้าหมายของแผนการคือลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อย่างเช่นการติดเชื้อ และเพื่อเลี่ยงการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
แพทย์อาจแนะนำให้ให้คุณทานอาหารเสริมทางโภชนาการเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณพลังงานกับโปรตีนที่ได้รับ โดยจะมีการตั้งเป้าหมายของการรักษาและมีการติดตามผลอยู่เป็นประจำ
ขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะทุพโภชนาการของคุณ คุณอาจถูกแนะนำให้ใช้ตัวช่วยเพิ่มเติมอย่างเช่นการใช้ผู้ดูแลหากคุณมีภาวะพิการจนทำให้คุณไปหาซื้ออาหารหรือทำอาหารลำบาก
หากว่าคุณมีปัญหาการกลืนหรือดื่มน้ำ แพทย์อาจส่งตัวคุณไปพบนักบำบัดภาษาและการพูด (SLT) ที่จะประเมินการกลืนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารชนิดพิเศษแก่คุณ
หากคุณยังคงทานอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แพทย์อาจเปลี่ยนไปใช้วิธีการป้อนอาหารเทียมอย่างการป้อนผ่านหลอดซึ่งสามารถดำเนินการตามโรงพยาบาลหรือที่บ้านก็ได้
การรักษาภาวะทุพโภชนาการที่โรงพยาบาล
หากคุณต้องทำการรักษาภาวะทุพโภชนาการที่โรงพยาบาล คุณจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายท่าน ดังนี้: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะของระบบย่อย นักโภชนาการ พยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านสารโภชนาการ นักสังคมสงเคราะห์
หากคุณไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน อาจมีการวางแผนการรับประทานอาหารแก่คุณโดยอาจจะมีหรือไม่มีการใช้อาหารเสริมโภชนาการก็ได้
หากคุณไม่สามารถกลืนอาหารได้ คุณอาจต้องใช้หลอดสวนส่งอาหาร ซึ่งจะมีอยู่สองประเภท: สายสอดกระเพาะอาหารทางสอดจมูก: ท่อที่สอดเข้าจมูกลงไปยังกระเพาะอาหาร สายสวนกระเพาะอาหาร (PEG): ท่อที่สอดเข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านทางช่องบนหน้าท้อง
การให้สารอาหารทางหลอดเลือด
หากคุณไม่สามารถใช้ท่อส่งอาหารได้ แพทย์อาจใช้วิธีให้สารอาหารแก่คุณโดยการฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรงผ่านการหยดยา วิธีการนี้สามารถช่วยให้ร่างกายคุณได้รับสารอาหารได้แม้จะไม่ได้รับประทานเข้าไป
คุณจะได้รับสารละลายสารอาหารที่ตรงตามความต้องการของร่างกายคุณมา โดยสารละลายดังกล่าวอาจเป็นการผสมกันของสารอาหารอย่างคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน เกลือ และวิตามินกับเกลือแร่ต่าง ๆ
การรักษาเพิ่มเติม
หากมีภาวะต้นเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ แพทย์จะทำการรักษาภาวะนั้นด้วย
ระยะเวลาที่คุณต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมของคุณและสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการขึ้น ในบางกรณีคุณสามารถกลับบ้านได้ขณะที่ยังคงต้องรับการรักษาอยู่
การรักษาเด็ก
ภาวะทุพโภชนาการในวัยเด็กสามารถรักษาได้ด้วยการเพิ่มสารอาหารที่ควรได้รับขึ้น เด็กอาจต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเติมชนิดพิเศษและทานอาหารที่อุดมไปด้วยพลังงานและสารอาหาร อีกทั้งยังต้องมีการรักษาภาวะต้นเหตุไปพร้อมกันด้วย
เด็กที่มีภาวะทุพโภชนาการรุนแรงอาจต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษและต้องไม่ให้อาหารปกติแก่พวกเขาทันที เมื่อภาวะของพวกเขาคงที่แล้วจึงจะสามารถค่อย ๆ จัดอาหารพวกเขาทานได้เรื่อย ๆ จนถึงระดับตามปกติ ภาวะทุพโภชนาการที่เกิดขึ้นเพราะเด็กขาดแคลนอาหารเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ซึ่งอาจต้องมีการช่วยเหลือจากตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมด้วย