เมื่อตัดสินใจจะมีเพศสัมพันธ์ อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยและโอกาสในการตั้งครรภ์ ซึ่งปัจจุบันมีวิธีป้องกันหลายแบบ ได้แก่ ถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิด แผ่นแปะคุมกำเนิด และยาฉีดคุมกำเนิด โดยในบทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับยาฉีดคุมกำเนิดว่า มีการทำงานอย่างไร และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดมากน้อยเพียงใด
ยาฉีดคุมกำเนิด (Contraceptive Injections) คืออะไร?
ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นวิธีคุมกำเนิดชั่วคราวที่เหมาะสมสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่มีบุตรแล้ว และต้องการเว้นช่วงการมีบุตร แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) และยาฉีดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ยาฉีดคุมกำเนิดเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน โดยแพทย์จะฉีดบริเวณต้นแขน หรือบั้นท้าย ครั้งละ 1 เข็ม ทุกๆ 3 เดือน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ โดยควรฉีดภายใน 5-7 วันแรกของรอบประจำเดือนเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
ยาฉีดคุมกำเนิดทำงานอย่างไร
ฮอร์โมนในตัวยาฉีดคุมกำเนิดจะทำงานโดยยับยั้งไม่ให้มีการตกไข่ในแต่ละเดือน ทำให้มูกที่ปากมดลูกข้นขึ้นจนตัวอสุจิไม่สามารถผ่านมาได้ โดยในระยะแรกของการฉีดยาคุมกำเนิดนั้น เยื่อบุโพรงมดลูกจะมีลักษณะเปลี่ยนไป ทำให้อยู่ในภาวะไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว และหลังจากนั้นประมาณ 20 วัน เยื่อบุโพรงมดลูกจะฝ่อลงนั่นเอง
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
ยาฉีดคุมกำเนิดถือเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากชนิดหนึ่ง พบว่าเพียง 3 จาก 100 คู่รักมีโอกาสตั้งครรภ์จากการฉีดยาคุมกำเนิดในช่วงปีแรก อย่างไรก็ตาม อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์มากขึ้นหากเว้นระยะการฉีดยานานเกินกว่า 3 เดือน
โดยทั่วไปแล้วประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดแต่ละชนิดนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัญหาทางสุขภาพต่างๆ หรือการใช้ยารักษาโรคที่อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิด นอกจากนี้ประสิทธิภาพของยาฉีดคุมกำเนิดนั้นยังขึ้นอยู่กับระยะเวลาห่างในการฉีดยาแต่ละครั้ง จะต้องไม่เกิน 3 เดือน
ข้อดีของยาฉีดคุมกำเนิด
- มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง
- สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 เดือน
- ไม่ต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกวัน
- ป้องกันการตั้งครรภ์นอกมดลูก มะเร็งรังไข่ และเนื้องอกในมดลูก
- สามารถใช้ได้ในหญิงให้นมบุตร ไม่ส่งผลต่อคุณภาพของน้ำนม
- ราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย
ยาฉีดคุมกำเนิดป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่
ยาฉีดคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และจากการศึกษาวิจัยพบว่ายาฉีดคุมกำเนิดจะยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจตอบได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเวลามีเพศสัมพันธ์จึงต้องใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคติดต่อที่อาจมาพร้อมกับการมีเพศสัมพันธ์ได้ และวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือการงดมีเพศสัมพันธ์ (Abstinence) นั่นเอง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ทั่วไป
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีภาวะประจำเดือนขาด
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยจากโพรงมดลูก
- น้ำหนักขึ้น ปวดศีรษะ และปวดคัดเต้านม
- มีอารมณ์หดหู่ แปรปรวน
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ภาวะกระดูกบาง เนื่องจากฮอร์ไมนโปรเจสตินจะไปยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง มีผลทำให้มวลกระดูกลดลง ความหนาแน่นกระดูกลดลง (Bone mineral density) แต่พบว่าเป็นแบบชั่วคราว เมื่อหยุดฉีดยาคุมความหนาแน่นของมวลกระดูกจะกลับคืนมาปกติ
- มึนงง เวียนศีรษะ
ผลข้างเคียงเมื่อใช้ยาฉีดคุมกำเนิดในระยะยาว
องค์การอาหารและยาสหรัฐ (United States Food and Drug Administration: FDA) ได้ออกคำเตือนเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดในระยะยาว มีการศึกษาวิจัยพบว่า การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดเชื่อมโยงกับโรคกระดูกพรุน และพบว่าอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อเลิกใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
ดังนั้นหากจำเป็นต้องได้รับยาฉีดคุมกำเนิดควรขอคำแนะนำจากแพทย์ก่อน และเมื่อฉีดแล้วต้องแน่ใจว่าได้รับแคลเซียมเพียงพอในแต่ละวัน และเนื่องจากการสูบบุหรี่มีความเชื่อมโยงกับการเกิดโรคกระดูกพรุนและเพิ่มโอกาสทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ จากการฉีดยาได้ จึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนตัดสินใจฉีดยาคุมด้วย
ผลข้างเคียงหลังจากหยุดใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
เมื่อหยุดใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ร่างกายอาจตกไข่น้อยลงเป็นระยะเวลานาน บางรายอาจมีอาการเป็นปี ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะยังสามารถตั้งครรภ์ได้ปกติ
ยาฉีดคุมกำเนิดเหมาะกับใคร
การใช้วิธีคุมกำเนิดในแต่ละชนิดต้องดูที่ความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เช่น ถ้าเป็นคนขี้ลืมก็ไม่ควรรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดที่ต้องรับประทานทุกวัน โดยยาฉีดคุมกำเนิดนั้นเหมาะกับผู้ที่ต้องการวิธีคุมกำเนิดที่ให้ประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้หญิงให้นมบุตรก็สามารถรับยาฉีดคุมกำเนิดได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะสามารถรับยาฉีดคุมกำเนิดได้ สำหรับผู้ที่รับประทานยารักษาโรคอื่นๆ อยู่ หรือมีปัญหาทางสุขภาพก็อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาฉีดคุมกำเนิดและเป็นอันตรายได้ โดยแพทย์จะไม่แนะนำยาฉีดคุมกำเนิดให้กับผู้ป่วยที่มีอาการเกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม โรคมะเร็งบางชนิด และผู้ที่มีอาการปวดไมเกรน
จะรับการฉีดยาคุมกำเนิดได้อย่างไร
การฉีดยาคุมกำเนิดนั้นต้องฉีดโดยแพทย์ หรือสูตินรีแพทย์ และจะต้องฉีดเป็นประจำทุกๆ 3 เดือน หรือ 1 เดือน แล้วแต่ชนิดของยา
ราคาของยาฉีดคุมกำเนิด
การฉีดยาคุมกำเนิดมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500-2,000 บาท สำหรับการฉีดทุกๆ 3 เดือน ซึ่งการฉีดตามโรงพยาบาลรัฐ หรือศูนย์อนามัยของรัฐอาจมีราคาถูกกว่าซื้อตามร้านขายยา นอกจากนี้ การปรึกษาแพทย์เพื่อการคุมกำเนิดและการคุมกำเนิดมักได้รับการครอบคลุมอยู่ในแผนประกันสุขภาพด้วย
ข้อห้ามในการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด
- มะเร็งเต้านม
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- โรคเส้นเลือดอุดตัน
- โรคหัวใจขาดเลือด
- ความดันโลหิตสูงกว่า 160/100 มิลลิเมตรปรอท และมีโรคของหลอดเลือด
- เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ หรือมีโรคไต
- เป็นโรคตับอักเสบ หรือโรคตับแข็ง
- เนื้องอกหรือมะเร็งตับ
- มีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีภาวะกระดูกพรุน
- มีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
- มีภาวะอ้วน
ยาฉีดคุมกำเนิดนั้นไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน หรือสงสัยว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
หากผู้หญิงท่านใดสนใจและต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการคุมกำเนิด ผลข้างเคียงของวิธีการคุมกำเนิดในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการฉีดยาคุมกำเนิด สามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง หรือสูตินรีแพทย์เพื่อขอรับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมได้