หลาย ๆ คนอาจมีความกังวลเมื่อต้องเลือกวิธีคุมกำเนิด หรือเมื่อต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ว่าจะทำให้มีบุตรยากหรือไม่ เมื่อถึงเวลาที่พร้อมจะมีบุตรและหยุดใช้วิธีคุมกำเนิดเหล่านั้นแล้ว
แนะนำให้ลองพิจารณาข้อมูลในตารางนะคะ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
รายการ | ยาเม็ดคุมกำเนิด | แผ่นแปะคุมกำเนิด | ยาฉีดทุก 1 เดือน | ยาฉีดทุก 3 เดือน | ห่วงอนามัย ฮอร์โมน | ห่วงอนามัย ทองแดง | ||
การกลับมามีไข่ตกหลังหยุดใช้ | เร็ว | เร็ว | เร็ว | นาน | เร็ว | เร็ว | - (ไม่มีผลยับยั้งไข่ตก) | |
อัตราการตั้งครรภ์ภายใน 1 ปี (%) | 80 – 95 | 80 – 90 | 73 – 83 | 70 – 78 | 77 – 86 | 79 – 96 | 71 – 91 | 91 |
จะเห็นได้ว่า วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวเกือบทั้งหมด เมื่อหยุดใช้แล้วก็จะกลับมามีไข่ตกและพร้อมตั้งครรภ์ได้แทบจะทันที ยกเว้นในกรณีที่ฉีดยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวเท่านั้น ที่อาจใช้เวลานานหลายเดือน
โดยผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 3 เดือน หรือ ตัวยา Medroxyprogesterone acetate (DMPA) จะใช้เวลาเฉลี่ย 10 เดือนนับจากวันที่ฉีดยาคุมเข็มสุดท้าย จึงจะกลับมามีไข่ตกอีกครั้ง
ส่วนผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 2 เดือน หรือตัวยา Norethisterone enanthate (NET-EN) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใช้ในประเทศไทยนะคะ จะใช้เวลาเฉลี่ย 6 เดือนนับจากวันที่ฉีดยาคุมเข็มสุดท้าย ไข่จึงจะตกตามปกติ
อย่างไรก็ตาม แต่ละคนอาจมีไข่ตกได้เร็วหรือช้าต่างกันค่ะ
ดังนั้นหากยังไม่พร้อมจะมีบุตร เมื่อไม่ได้ฉีดยาคุมต่อตามนัด ก็ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยเสมอ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
มีความเข้าใจผิด ๆ ที่พบได้บ่อย และทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เช่น
- เข้าใจผิดว่าหากรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดติดต่อกันมานานแล้วจะไม่ตั้งครรภ์ง่าย ๆ จึงมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเมื่อหยุดใช้ยาคุม หรือเมื่อลืมรับประทานติดต่อกันหลายวัน ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร
- เข้าใจผิดว่าหลังถอดยาฝังคุมกำเนิดแล้วจะไม่ตั้งครรภ์ง่าย ๆ เพราะเห็นว่าในช่วงที่ฝังยาคุมอยู่มักจะไม่มีประจำเดือนเหมือนกับผู้ที่ฉีดยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว จึงคิดว่าจะต้องใช้เวลานานเช่นเดียวกันกว่าที่จะกลับมามีไข่ตกได้อีกครั้ง
- เข้าใจผิดว่าเมื่อหยุดฉีดยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแล้วจะไม่ตั้งครรภ์ง่าย ๆ เพราะเห็นว่าเป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีฉีดเหมือนกันกับยาฉีดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ที่มักจะใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่จะมีไข่ตกตามปกติ
แต่ความจริงก็คือ ไม่ว่าจะมีการรับประทานยาติดต่อกันมานานแค่ไหน ก็ไม่มียาสะสมตกค้างอยู่ในร่างกายค่ะ เมื่อหยุดใช้ จึงไม่มียาไปยับยั้งการตกไข่ไว้เหมือนเดิมแล้วนะคะ
แต่ความจริงก็คือ การฝังยาคุมกำเนิด จะเป็นการฝัง “หลอดบรรจุยา” ไว้ใต้ผิวหนังตื้น ๆ ซึ่งฮอร์โมนในหลอดบรรจุจะค่อย ๆ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง เมื่อถอดยาฝังคุมกำเนิดออก ก็คือการนำหลอดบรรจุยาออกมา จึงไม่มีฮอร์โมนไปยับยั้งไข่ตกได้อีกนั่นเอง
ในขณะที่การฉีดยาคุมกำเนิด ตัวยาที่ถูกฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อ (หรือใต้ผิวหนัง ถ้าเป็นการฉีด DMPA วิธีใหม่) จะค่อย ๆ ละลายและดูดซึมอย่างช้า ๆ และเนื่องจากไม่สามารถนำยาเหล่านั้นออกมาจากร่างกายได้เหมือนกับการถอดหลอดยาฝังคุมกำเนิด จึงต้องรอให้ปริมาณยาลดน้อยลงจนหมดฤทธิ์ไปเองค่ะ
แต่ความจริงก็คือ แม้จะมีการฉีดยาเข้าไปในกล้ามเนื้อ และให้ยาค่อย ๆ ละลายและดูดซึมเข้ากระแสเลือดเหมือนกัน แต่ปริมาณยาและส่วนประกอบของตัวยาสำคัญก็แตกต่างกันนะคะ
โดยปกติแล้ว ผู้ใช้ยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 1 เดือน จะไม่เกิดภาวะขาดประจำเดือนค่ะ แต่จะมีประจำเดือนมาในสัปดาห์ที่ 4 ของการฉีด เช่นเดียวกับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดสูตรปกตินั่นเอง
และเมื่อหยุดฉีดยาคุมต่อตามนัด ก็จะมีไข่ตกและพร้อมตั้งครรภ์ได้เร็วค่ะ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร แต่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดต่อตามกำหนด มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้มากนะคะ เพราะอาจมีไข่ตกมาเมื่อไหร่ก็ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ค่ะ ต่อให้ยาคุมที่เคยใช้จะเป็นยาฉีดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวก็ตาม เพราะแม้ว่าโดยเฉลี่ยจะใช้เวลาหลายเดือน แต่บางคนอาจกลับมามีไข่ตกได้เร็วกว่านั้นมาก
ส่วนผู้ที่วางแผนจะมีบุตรในเวลาอันใกล้ เช่น ไม่เกิน 1 ปี ควรหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดด้วยวิธีฉีดยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวนะคะ เพราะอาจใช้เวลานานกว่าที่จะกลับมามีไข่ตกและตั้งครรภ์ได้ดังใจค่ะ