วิธีคุมกำเนิดโดยใช้การฝังยาคุมกำเนิด หรือ ยาคุมกำเนิดแบบฝัง (Contraceptive implant หรือ Implantable contraception) เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยการฝังฮอร์โมนที่ชื่อ โปรเจสติน (Progestin) ที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนข้างใดข้างหนึ่งซึ่งเป็นข้างที่ไม่ถนัด
ฮอร์โมนนี้จะถูกเก็บอยู่ภายในหลอด หรือแท่งพลาสติกขนาดเล็กประมาณไม้จิ้มฟันชนิดกลม ซึ่งเมื่อฮอร์โมนโปรเจสตินได้ถูกปล่อยเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะมีผลให้การเจริญเติบโตของฟองไข่ถูกยับยั้ง ทำให้ไม่เกิดการตกไข่ จึงไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นนั่นเอง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยาฝังคุมกำเนิดออกฤทธิ์อย่างไร?
การใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงชนิดเดียวเท่านั้น
ซึ่งเมื่อซึมออกมาจากแท่งยาเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ฮอร์โมนนี้จะทำให้ฟองไข่หยุดการเจริญเติบโต จึงทำให้ไม่มีไข่ตกพร้อมที่จะผสมกับเชื้ออสุจิ
ไม่เพียงเท่านั้น ฮอร์โมนโปรเจสตินยังส่งผลให้มูกที่ปากมดลูกมีลักษณะเหนียวข้น จึงสร้างความยากลำบากให้แก่อสุจิที่จะว่ายผ่านเข้าไป จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลดโอกาสในการผสมกันระหว่างไข่กับอสุจิ
อีกทั้งยังทำให้ผนังมดลูกบางลง เป็นการลดโอกาสในการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว การตั้งครรภ์จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ยาฝังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน?
เมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆ แล้วการฝังยาคุมกำเนิดถือเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะเป็นรองก็แต่การไม่มีเพศสัมพันธ์เลยเท่านั้น
ซึ่งวิธีนี้จะทำให้มีโอกาสล้มเหลวที่จะตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้เพียง 0.05% หรือ 1 ใน 2,000 คนเท่านั้น โดยการฝัง 1 ครั้ง ยาคุมที่ฝังไว้จะค่อยๆ ปลดปล่อยฮอร์โมนออกมา และสามารถคุมกำเนิดได้ยาวนานถึง 3 ปี
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดสามารถทำได้ตลอดรอบเดือน แต่ก่อนจะเริ่มทำการฝังยาคุมกำเนิดจะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่า ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่ หลังจากนั้นแพทย์จะทำรอยเล็กๆ เอาไว้ที่บริเวณท้องแขนด้านในข้างที่จะทำการฝังยาเข้าไป
จากนั้นจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดผิวหนัง และฉีดยาชาที่บริเวณใต้ท้องแขน เสร็จแล้วแพทย์จะเปิดแผลที่ท้องแขนออกโดยการใช้เข็มนำ ซึ่งแผลที่เปิดออกนี้จะมีความกว้างประมาณ 0.3 เซนติเมตร จากนั้นจึงจะนำแท่งตัวนำหลอดบรรจุยาสอดใส่เข้าไปข้างใน
พอฝังหลอดยาเข้าภายในร่างกายแล้ว แท่งนำยากับเข็มนำก็จะถูกถอนออก จากนั้นจะใช้ปลาสเตอร์เล็กๆ ปิดแผลแล้วใช้ผ้าพันแผลพันทับอีกทีหนึ่งก็เป็นอันเรียบร้อย โดยจะพันแผลทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง
เมื่อนำผ้าพันแผลออกแล้วจะปรากฏเป็นรอยฟกช้ำ และมีอาการเจ็บแขนตรงจุดที่ฝังยาเล็กน้อยอยู่ราวๆ 1 สัปดาห์ จากนั้นรอยฟกช้ำจะเริ่มหายไป และภายในระยะเวลา 3 – 5 วัน แผลก็จะค่อยๆ หายเป็นปกติ
แต่ในระยะเวลา 7 วันหลังจากที่ทำ ห้ามให้แผลถูกน้ำ และแพทย์จะนัดตรวจดูบาดแผลหลังจากที่ทำไปได้ 7 วัน
ขั้นตอนของการถอดยาฝังคุมกำเนิดออก
ในขั้นตอนการถอดยาฝังคุมกำเนิดออกจะทำให้เกิดบาดแผลที่ใหญ่กว่าตอนใส่เข้าไปเล็กน้อย และอาจจำเป็นต้องใช้ไหมในการเย็บแผล 1 เข็ม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แพทย์จะฉีดยาชาแต่เพียงเล็กน้อยบริเวณด้านใต้ส่วนปลายของแท่งฮอร์โมน แล้วจึงกรีดผิวหนังออกเป็นแผลขนาดเล็ก เสร็จแล้วจึงใช้อุปกรณ์ดึงเอาแท่งฮอร์โมนออกมา
โดยจะกลับมามีประจำเดือนตามปกติภายในเวลา 1–12 เดือนหลังจากที่ได้ถอดยาออกไปแล้ว และจะเริ่มมีไข่ตกประมาณ 1–3 เดือน
เข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดได้ที่ไหนบ้าง?
ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดแบบการฝังยา สามารถติดต่อขอรับบริการฝังยาคุมกำเนิดได้ที่โรงพยาบาลประจำอำเภอขนาดใหญ่ หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัด หรืออาจจะสอบถามไปที่คลินิกสูตินรีเวชต่างๆ ก็ได้ โดยจะใช้ระยะเวลาในการทำไม่เกิน 10–20 นาทีเท่านั้น
ผู้ที่เหมาะจะฝังยาคุมกำเนิด
ผู้ที่เหมาะกับการใช้วิธีฝังยาคุมกำเนิดนั้น คือ ผู้ที่มักจะลืมรับประทานยาคุมกำเนิดอยู่เป็นประจำ หรือต้องการวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ และต้องการที่จะคุมกำเนิดเป็นระยะเวลา 3–5 ปีขึ้นไป
หรือผู้ที่ไม่สามารถที่จะใช้วิธีคุมกำเนิดรูปแบบอื่นซึ่งต้องใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เช่น ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างให้นมลูก (จะใช้วิธีฝังยาคุมกำเนิดได้เมื่อทารกอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป)
หรือผู้ที่เคยเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันมาก่อน เนื่องจากการฝังยาคุมกำเนิดซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเฉียบพลันน้อยกว่ายาคุมกำเนิดแบบรวม
ผู้ที่ไม่ควรฝังยาคุมกำเนิด
การฝังยาคุมกำเนิดอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของยารักษาโรคบางชนิด หรืออาการผิดปกติต่างๆ บุคคลเหล่านี้จึงไม่ควรฝังยาคุมกำเนิด ซึ่งได้แก่
- ผู้ที่สงสัย หรือไม่แน่ใจว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ ซึ่งหากต้องการฝังยาคุมกำเนิด ก็ควรลองทดสอบการตั้งครรภ์ดูก่อน
- ผู้ที่บริเวณช่องคลอด หรืออวัยวะเพศมีเลือดออกผิดปกติ โดยไม่รู้สาเหตุ รวมถึงผู้ที่มีเลือดออกง่ายด้วย
- ผู้ที่เป็นมะเร็งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งเต้านม หรือว่าเคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน หรือมีเนื้องอกที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน เพราะการฝังยาอาจไปกระตุ้นได้นั่นเอง
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคลมชัก โรคถุงน้ำดี หากต้องการฝังยาคุมกำเนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดที่ทำให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง เช่น ยารักษาอาการติดเชื้อ HIV ยาต้านชัก ยารักษาวัณโรค และยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น rifabutin rifampicin หรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด เช่น St John's wort
ผลข้างเคียงยาฝังคุมกำเนิด
แม้ว่ายาฝังคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ แต่ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน ดังนี้
- ในช่วง 2–3 เดือนแรก อาจพบว่าประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรืออาจจะมาแบบกะปริดกะปรอย หรือมีอาการตกขาวมาก หรือบางรายอาจจะมีประจำเดือนมามากติดต่อกันนานหลายวัน ไม่มีประจำเดือน หรือประจำเดือนอาจขาดไปเลยก็มีซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดแต่ไม่เป็นอันตราย
สามารถช่วยให้อาการเลือดออกกะปริดกะปรอยลดน้อยลงได้ โดยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน 0.05 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด ติดต่อกันประมาณ 7-10 วัน - อาจมีอาการปวดท้องน้อยและปวดประจำเดือนในช่วง 2 – 3 เดือนแรก และอาจรู้สึกปวดแขนตรงบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิดได้
- แผลที่ฝังยาอาจมีอาการอักเสบหรือเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้
- มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ในช่วงแรก
- มีอารมณ์ไม่คงที่ หงุดหงิดและอารมณ์เสียบ่อยๆ
- รู้สึกปวดหรือเจ็บบริเวณเต้านม และอาจเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดต่ำ
- หากมีการตั้งครรภ์ อาจเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกขึ้นได้ง่าย
- อาจเกิดสิว มีขนดก และมีความต้องการทางเพศลดน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากตัวยานั่นเอง
ฝังแล้วประจำเดือนไม่มา เป็นอันตรายหรือไม่?
โดยปกติแล้วหลังจากฝังยาคุมกำเนิด คนส่วนใหญ่มักจะไม่มีประจำเดือนมา เนื่องจากเป็นผลของฮอร์โมนในยาคุมที่ฝังเข้าไปนั่นเอง ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป ไม่เป็นอันตรายใดใด
สำหรับบางคนอาจมีอาการเลือดออกกระปริบกระปรอยได้ แต่ปัญหาเหล่านี้จะลดน้อยลงหลังจากผ่านหนึ่งปีไปแล้ว
ดังนั้นหากประจำเดือนมาก็ไม่ต้องกังวลเพราะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยิ่งในคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 70 กิโลกรัมด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสที่ประจำเดือนมาได้มากกว่าบุคคลทั่วไป เว้นแต่ประจำเดือนมามากและมาแบบไม่หยุด ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
การฝังยาคุมกำเนิด เป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพ และคุมได้ในระยะยาว เพราะฉะนั้นใครที่ต้องการคุมกำเนิดแบบระยะยาว ก็เหมาะที่จะคุมกำเนิดด้วยการฝังยาคุมกำเนิดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม วิธีการฝังยาคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นควรใช้วิธีการคุมกำเนิดชนิดนี้ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยจะเป็นการดีที่สุด
ดูแพ็กเกจตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android